ใส่ถุงเท้านอนช่วยหลับลึกจริงหรือ งานวิจัยดังชี้ผลชัด

หลายคนอาจมองว่าแค่ใส่ถุงเท้านอนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ล่าสุดมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ออกมายืนยันว่า การใส่ถุงเท้าก่อนนอนสามารถช่วยให้หลับเร็ว หลับลึก และฟื้นฟูร่างกายได้จริง จนถูกเปรียบว่าเป็น “ยานอนหลับจากธรรมชาติ”

งานวิจัยจาก Imperial College London ระบุว่า ความอบอุ่นบริเวณปลายมือและปลายเท้ามีบทบาทสำคัญต่อระบบประสาทในการกระตุ้นการนอนหลับ โดย ศาสตราจารย์วิลเลียม วิสเดน นักประสาทวิทยาชื่อดัง อธิบายว่า การทำให้มือและเท้าอบอุ่นก่อนนอน ส่งสัญญาณตรงไปยังสมองว่าถึงเวลาพักผ่อน ส่งผลให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะง่วงได้เร็วขึ้น

เมื่อ ร่างกายรับรู้ถึงความอบอุ่นที่ปลายเท้า สมองจะเริ่มปรับสมดุลอุณหภูมิภายในโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญของการนอนหลับลึกตามธรรมชาติ

กลไกเบื้องหลัง ใส่ถุงเท้าแต่ร่างกายเย็นลง

จุดที่น่าสนใจคือ การอุ่นเท้าไม่ได้ทำให้ร่างกายร้อนขึ้น อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่กลับช่วยให้ อุณหภูมิแกนกลางของร่างกายลดลง การใส่ถุงเท้าทำให้หลอดเลือดบริเวณเท้าขยายตัว เลือดไหลเวียนสู่ผิวมากขึ้น ความร้อนจึงถูกระบายออกจากร่างกาย

ผลลัพธ์คือ อุณหภูมิแกนกลางลดลงประมาณ 1–1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเข้าสู่ภาวะหลับลึก นักวิจัยสรุปตรงกันว่า สูตรการนอนที่มีประสิทธิภาพคือ อุ่นผิวกายก่อนนอน แต่ควรนอนในห้องที่เย็น


หลักฐานวิทยาศาสตร์ชี้ชัด ช่วยหลับเร็วขึ้นจริง

งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature โดยทีมจาก University of Basel ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระบุว่า ระดับการขยายตัวของหลอดเลือดที่เท้าเป็นตัวทำนายความเร็วในการหลับที่แม่นยำที่สุด ยิ่งเท้าอุ่น การหลับยิ่งมาเร็ว

ขณะที่การศึกษาในผู้สูงอายุพบว่า การแช่เท้าในน้ำอุ่นประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนนอน ช่วยให้นอนหลับได้นานขึ้น คุณภาพการนอนดีขึ้น และตื่นมาสดชื่นกว่าเดิมอย่างชัดเจน

ทางเลือกอื่นที่ให้ผลใกล้เคียงยานอนหลับ

นอกจากใส่ถุงเท้าแล้ว ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำ การอาบน้ำอุ่นก่อนนอน 1–2 ชั่วโมง เพียง 10 นาที สามารถช่วยให้หลับเร็วขึ้นเฉลี่ย 9 นาที และเพิ่มประสิทธิภาพการนอน ซึ่งให้ผลใกล้เคียงกับการรับประทานเมลาโทนิน

เพื่อให้ได้ผลสูงสุด ควรจัดสภาพแวดล้อมในห้องนอนให้เหมาะสม โดย มูลนิธิการนอนแห่งชาติสหรัฐฯ แนะนำให้อุณหภูมิห้องอยู่ที่ 15–19 องศาเซลเซียส พร้อม ปิดไฟให้มืดสนิท เพื่อไม่ให้รบกวนการหลั่งเมลาโทนิน ฮอร์โมนสำคัญของการนอนหลับ


ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ