ของใกล้ตัวช่วยชีวิต! 6 อาหารลดความเสี่ยงลิ่มเลือดอุดตัน

นักโภชนาการจีนแนะนำ 6 อาหารช่วยลดความเสี่ยงการเกิดลิ่มเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ พร้อมย้ำว่าอาหารเป็นเพียงตัวช่วยเสริม
ภาวะ “ลิ่มเลือดอุดตัน” กำลังพบได้บ่อยขึ้นในคนอายุน้อย ไม่ใช่แค่ในผู้สูงอายุเหมือนในอดีต โดยลิ่มเลือดที่เกิดขึ้นสามารถอุดกั้นหลอดเลือดส่วนสำคัญ เช่น สมองหรือหัวใจ นำไปสู่ภาวะสโตรกหรือหัวใจวายเฉียบพลัน ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต โจทย์สำคัญจึงอยู่ที่การลดการอักเสบของหลอดเลือดและลดความข้นหนืดของเลือดผ่านการกินและการใช้ชีวิตที่เหมาะสม
กู้ ฉวนหลิง นักโภชนาการและกรรมการสมาคมโภชนาการเพื่อสุขภาพและอาหารเพื่อสุขภาพแห่งนครปักกิ่ง กล่าวว่า การเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยลดการอักเสบและควบคุมไขมันสามารถช่วยลดโอกาสการก่อตัวของลิ่มเลือดได้ พร้อมแนะนำ “6 อาหารต้านลิ่มเลือด” ดังนี้
1. ไขมันดี
น้ำมันที่อุดมด้วยโอเมก้า-3 เช่น น้ำมันงาขี้ม่อน น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์ และน้ำมันที่มีโอเมก้า-9 เช่น น้ำมันมะกอกและน้ำมันรำข้าว มีส่วนช่วยลดการอักเสบและเสริมความแข็งแรงของผนังหลอดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลรวมและไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของเลือดข้นหนืด
2. ผักและผลไม้สด
อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านการอักเสบ ทำหน้าที่ปกป้องเซลล์บุผนังหลอดเลือด ลดการสะสมของคราบพลัคในหลอดเลือด แนะนำให้ทานผักวันละ 5 กำมือ และผลไม้ 2–3 กำมือ เพื่อให้หลอดเลือดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ปลาทะเลที่มีไขมันสูง
ปลาทะเล เช่น แซลมอน ปลาทู ซาร์ดีน และทูน่า มีกรดไขมัน DHA ซึ่งช่วยลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือดโดยตรง ลดโอกาสก่อตัวของลิ่มเลือด ควรรับประทานอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
4. อาหารที่มีเบต้า-กลูแคน
ข้าวโอ๊ตและข้าวบาร์เลย์เป็นแหล่งสำคัญของเบต้า-กลูแคน ซึ่งช่วยลดการดูดซึมคอเลสเตอรอลเข้าสู่เลือด ทำให้ระดับไขมันดีขึ้น ส่งผลให้เลือดไม่หนืดและลดความเสี่ยงของลิ่มเลือด แนะนำเลือกข้าวโอ๊ตแบบเมล็ดเต็มหรือแบบหยาบเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด
5. อาหารที่มีเลซิตินจากถั่วเหลือง
เลซิตินมีบทบาทเหมือนไม้กวาดล้างคราบไขมันในหลอดเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีและหลอดเลือดมีความยืดหยุ่น การบริโภคเต้าหู้ น้ำเต้าหู้ หรือฟองเต้าหู้เป็นประจำ ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6. น้ำเปล่า
การดื่มน้ำเพียงพอเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดแต่ได้ผลดีที่สุดต่อการลดเลือดข้นหนืด ผู้หญิงควรดื่มวันละ 1,500 มล. และผู้ชาย 1,700 มล. โดยเฉพาะช่วงหลังตื่นนอนที่ร่างกายอยู่ในภาวะขาดน้ำ ควรดื่มน้ำทันทีเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
แหล่งที่มาอ้างอิง
สมาคมโภชนาการเพื่อสุขภาพและอาหารเพื่อสุขภาพแห่งนครปักกิ่ง (Beijing Association for Nutrition & Health Foods)
คำแนะนำจากนักโภชนาการ กู้ ฉวนหลิง (Gu Chuanling)
ข้อมูลทั่วไปจากองค์การอนามัยโลก (WHO) เกี่ยวกับโรคหัวใจและหลอดเลือด




















