วันที่ 24 ก.พ.67 เมื่อเวลาเวลา 10.00 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายสมหมาย ตัวตุลานนท์ พ่อของตะวัน หรือ น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ นักกิจกรรมทางการเมืองที่ถูกศาลอาญาอนุมัติฝากขังในคดีตามประมวลกฎหมายอาญา ม.116 จากกรณีขัดขวางขบวนเสด็จพระราชดำเนิน ได้เดินทางมายังศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เพื่อยื่นประกันตัวตะวันอีกครั้ง หลังจากที่ตะวันได้อดข้าวอดน้ำประท้วงจากกรณีที่ถูกฝากขัง จนทำให้เกิดอาการวิกฤตและต้องหานำส่งโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ต้องแต่เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
โดยนายสมหมาย กล่าวว่า ในวันนี้ตนได้เดินทางมาที่ศาลอาญา เพื่อขอความเมตตาให้ศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวตะวันและแฟรงค์ หลังจากที่เมื่อวานที่ผ่านมา ตนได้ไปเยี่ยมทั้งคู่ที่โรงพยาบาล และพบว่าทั้งคู่อาการหนักมาก โดยเฉพาะตะวันลูกสาวของตน ที่มีรูปร่างผอมซูบจนเห็นหนังติดกระดูก โดยทางทีมแพทย์แพทย์ก็ได้ประเมินอาการว่า หากไม่รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจเสียชีวิตได้
เบื้องต้นตนทราบเพียงว่า ทั้งคู่ไม่รับยาใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากจิบน้ำตามเวลา ซึ่งตนก็กังวลและหวังว่าวันนี้ศาลจะเมตตาให้ประกันตัว เพื่อที่ทั้งคู่จะได้ออกมาต่อสู้คดีและรับการรักษาพยาบาล ถ้าหากว่าตอนนี้ไม่ช่วยให้สองคนนี้ออกมา ก็อาจจะต้องเสียชีวิต ซึ่งอย่างไรก็ตามต้องรอผลวันนี้ว่าศาลจะให้ประกันตัวหรือไม่และหากได้รับการประกันตัวจะต้องใช่หลักทรัพย์การประกันตัวจำนวนเท่าไหร่
ทั้งนี้นายสมหมายได้ตั้งข้อสังเกตว่า ในที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นนั้น ทั้งคู่เพียงแค่ขับรถที่จะลงทางด่วนแต่ดันไปเจอกับรถปิดท้ายขบวนเสด็จ จึงเกิดการปะทะคารมกับตำรวจตรงนั้น
แต่ขอให้สังเกตดูว่า โดยปกติแล้ว ขบวนเสด็จพระราชดำเนินของพระราชวงศ์ แทบจะไม่มีใครทราบหรือรู้ว่า พระองค์จะเสด็จไปทางไหน เวลาไหนและมีโอกาสที่ผู้สัญจรผ่านไปมาทั่วไปจะพบเจอขบวนเสด็จได้ ในวันนั้นตะวันแล้วแฟรงค์เพียงแค่จะลงทางด่วนทางเดียวกันเพื่อไปธุระส่วนตัว จึงเป็นไปได้ยังไงที่ทั้งคู่จะมีเจตนาที่จะยุยง ปลุกปั่น ไปขัดขวางขบวนเสด็จ เพราะทั้งคู่ไม่รู้ว่าวันนั้นจะมีขบวนเสด็จผ่านมา อีกประเด็นที่ตนตั้งข้อสงสัยคือ โดยปกติแล้วขบวนเสด็จพระราชดำเนินจะใช้ความเร็วอยู่ที่ 100-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
โดยจากในคลิปจะเห็นว่า ทั้งคู่ใช้เวลา 31 วินาที ซึ่งตอนนั้นขบวนน่าจะขับไปไกลมากแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่ตะวันและแฟรงค์จะใช้ความเร็วเพื่อที่จะแซงหรือขัดขวางขบวนเสด็จจึงทำได้เพียงแค่บีบแตรแสดงความไม่พอใจให้กับตำรวจแค่นั้น อีกทั้งตนมองว่า ถ้าทำถึงขนาดนั้นจริง ป่านนี้ทั้งคู่น่าจะถูกยิงไปแล้วหรือไม่ก็ถูกจับกุมตั้งแต่วันนั้นแล้ว
เพราะมิเช่นนั้นทางตำรวจก็จะถูกตั้งข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157
อย่างไรก็ตาม ตนได้มีการต่อว่าสั่งสอนตักเตือนตะวันไปแล้วว่าอย่าทำแบบนี้อีก แต่ตนก็ไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์จะร้ายแรงจนถึงขนาดนี้ ซึ่งยอมรับว่า ตะวันอาจจะใช้ถ้อยคำน้ำเสียงหรือแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
แต่ฝากไปถึงสื่อมวลชนและสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ให้ลองคัดเสียงเอาแค่คำถามของทั้งคู่มานำเสนอหรือมาเขียนเป็นตัวหนังสือ ก็จะเห็นว่า คำถามของทั้งคู่นั้น เข้าข่ายพฤติการณ์ปลุกปั่น ยั่วยุให้เกิดความแตกแยกตามมาตรา 116 หรือไม่ ก่อนที่นายสมหมายจะย้ำทิ้งท้ายว่า