"ทนายเดชา" เปิดข้อกฎหมาย ปม 5 โจ๋ ทำร้าย "ป้ากบ" ได้รับโทษอย่างไร

16 มกราคม 2567

"ทนายเดชา" อธิบายประเด็นที่หลายคนสงสัย "ทำไมสามีผู้เสียชีวิตถึงยอมรับสารภาพ" พร้อมเปิดข้อกฎหมาย 5 โจ๋ ทำร้าย "ป้ากบ" มีโทษอย่างไรบ้าง

เป็นคดีที่สังคมสนใจอย่างมาก สำหรับคดีของ  "ป้ากบ" หรือ "ป้าบัวผัน" หญิงเร่ร่อนสติไม่ดีที่ถูก 5 วัยรุ่นทำร้ายจนเสียชีวิตที่จังหวัดสระแก้ว คาดไม่ถึงว่า เยาวชนทั้ง 5 คน ที่อายุแค่ 13 - 16 ปี จะสามารถทำเรื่องเลวร้ายได้ขนาดนี้ ข่าวนี้ได้กลายเป็นข่าวที่สร้างความสะเทือนใจอย่างมาก  

ทนายเดชา เปิดข้อกฎหมาย ปม 5 โจ๋ ทำร้าย ป้ากบ ได้รับโทษอย่างไร


โดยก่อนหน้านี้ได้มีการเปิดเนื้อหาของคลิปเสียงของกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นวัยรุ่นดังกล่าวถึงการทำร้าย "ป้ากบ" ยิ่งน่าหดหู่ใจ ทำเอาคนที่ได้ยินได้ฟังถึงกับรับไม่ได้ กับการก่ออาชญากรรมในครั้งนี้ และต่างยังคาใจในเรื่องของคำสารภาพของทั้ง 5 โจ๋ และ สามีป้ากบด้วย

 

เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวทางด้าน ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ เจ้าของเพจทนายคลายทุกข์ ก็ได้ออกมาเปิดข้อกฎหมายเกี่ยวกับดคีนี้ว่า ยังมี 2 ประเด็นที่สังคมตั้งคำถาม คือ ตอนนี้เด็กและเยาวชนก่อเหตุอาชญากรรมมากขึ้น จะทำอย่างไร ต้องแก้กฎหมายเพิ่มโทษให้เด็กและเยาวชนหรือไม่ และอีกประเด็น คือ กรณีที่ตั้งข้อหาลุงเปี๊ยกไปแล้ว จะต้องทำอย่างไรต่อนั้น 

ทนายเดชา เปิดข้อกฎหมาย ปม 5 โจ๋ ทำร้าย ป้ากบ ได้รับโทษอย่างไร


โดย ทนายเดชา ให้ความเห็นกรณีตำรวจตั้งข้อหาลุงเปี๊ยกว่า การที่ลุงเปี๊ยกสารภาพเพราะเมา เป็นไปได้ว่าไม่มีสติ ขาดสัมปชัญญะ จึงอาจกลายเป็นเรื่องขาดเจตนา ซึ่งอาจทำให้ไม่มีความผิด แต่คดีนี้มีลูกตำรวจร่วมก่อเหตุด้วย ทำให้ประชาชนตั้งคำถามว่า มีคนให้ลุงเปี๊ยกรับสารภาพหรือไม่ แล้วค่อยทำสำนวนอ่อนๆ เพื่อให้ยกฟ้องในชั้นศาลภายหลัง ส่วนที่แจ้งข้อหาลุงเปี๊ยกไปแล้วจะถอนข้อหาไม่ได้ ถ้าไม่ได้ทำผิด ต้องมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง

  กรณีนี้ถือเป็นความไม่ละเอียดของตำรวจ ส่วนกรณีผู้ก่อเหตุยังเป็นเยาวชนอายุน้อย และปัจจุบันมีสถิติก่ออาชญากรรมมากขึ้น จนมีเสียงเรียกร้องให้แก้กฎหมายเพิ่มโทษเด็กและเยาวชนที่กระทำความผิด เด็กถือเป็นผู้ไร้เดียงสา มีวุฒิภาวะต่ำ กฎหมายไทยก็คุ้มครอง 

 

 

  • โดยเด็กอายุไม่เกิน 12 ปี ไม่ต้องรับโทษ , เกิน 12 ปี แต่ไม่เกิน 15 ปี ให้ใช้วิธีการสำหรับเด็ก ไม่ต้องเข้าคุก , อายุต่ำกว่า 18 ปี ลดมาตราส่วนโทษ ซึ่งกระบวนการนี้เป็นสากล ดีอยู่แล้ว จึงควรไปดูที่พ่อแม่ว่าเอาใจใส่ลูกมากแค่ไหน ซึ่งจะเป็นเชิงป้องกันมากกว่า