"อรมน"พร้อมขับเคลื่อนนโยบาย "Quick Big Win" เดินหน้าภารกิจเชิงรุก 4 ด้าน

“อรมน” พร้อมขับเคลื่อนนโยบาย Quick Big Win รมว.พาณิชย์ โชว์โรดแมป“IP 4 All”เดินหน้าภารกิจเชิงรุก 4 ด้าน เพื่อให้ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน
กรมทรัพย์สินทางปัญญา รับลูกนโยบาย Quick Big Win รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์(นางศุภจี สุธรรมพันธุ์) โชว์โรดแมป“IP 4 All”เพื่อให้ “ทรัพย์สินทางปัญญา” สร้างแต้มต่อให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาคชุมชนท้องถิ่น ภาคธุรกิจ ภาคการศึกษาวิจัย และภาคประชาชน อย่างทั่วถึงและเห็นผลเป็นรูปธรรม
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่ากรมทรัพย์สินทางปัญญา ในฐานะหน่วยงานซึ่งมีภารกิจหลักในด้านการส่งเสริมการสร้างสรรค์ การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การใช้ประโยชน์ทรัพย์สินทางปัญญาเชิงพาณิชย์ และการบังคับใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา
พร้อมขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้นโยบาย Quick Big Win ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางศุภจี สุธรรมพันธุ์) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะด้านการเสริมแกร่งผู้ประกอบการไทยให้เข้มแข็ง แข่งขันได้ ด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งกรมได้กำหนดนโยบาย “IP 4 All” ทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อทุกคน โดยมีแผนงานขับเคลื่อนใน 4 มิติ ดังนี้
- มิติแรก “ทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อชุมชน” (IP for Community)
เน้นการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาสร้างรายได้และมูลค่าเพิ่มให้ชุมชน ดังนี้ (1) สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ซึ่งถือเป็นสินค้าอัตลักษณ์และมีลักษณะพิเศษเชื่อมโยงกับสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของชุมชนเพื่อเป็นทางรอดและเพิ่มรายได้ให้กับ SMEs ในท้องถิ่นต่างๆ ของไทย โดยมีการส่งเสริมด้าน GI แบบครบวงจร ตั้งแต่การขึ้นทะเบียน GI การควบคุมคุณภาพ และการขยายช่องทางการตลาดโดยปีงบประมาณ 2569 ตั้งเป้าขึ้นทะเบียน GI อย่างน้อย 26 สินค้า คาดว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มไม่น้อยกว่า 34,000 ล้านบาท จากปัจจุบันไทยมีสินค้า GI 241 รายการ สร้างรายได้ในปี 2568 มูลค่า 114,000 ล้านบาท
โดยดำเนินการควบคู่ไปกับการส่งเสริมการควบคุมคุณภาพสินค้า GI ที่ขึ้นทะเบียนแล้ว เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคว่าจะได้รับสินค้าที่มีอัตลักษณ์และมีคุณภาพได้มาตรฐาน พร้อมจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในประเทศ จับคู่ธุรกิจ และขยายช่องทางการตลาดให้กับสินค้า GI ซึ่งรวมถึงการนำระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Trace Back) มาใช้ในการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคและยกระดับสินค้า
ตลอดจนการจัดทำระเบียบเพื่อเปิดโอกาสให้ใช้โลโก้ GI รูปแบบใหม่กับสินค้าที่นำสินค้า GI ไปแปรรูปหรือใช้เป็นวัตถุดิบ ซึ่งจะช่วยต่อยอดโอกาสทางการตลาด เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า GI และสร้างรายได้อย่างยั่งยืนแก่ชุมชนและการเจาะตลาดต่างประเทศที่มีระบบคุ้มครอง GI และเป็นตลาดศักยภาพที่มีกำลังซื้อสูงเช่น จีน ญี่ปุ่น กลุ่มประเทศอาเซียน(2) การพัฒนาต่อยอดสินค้าชุมชนในแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรมให้ได้รับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
อาทิ เครื่องหมายการค้า การจดแจ้งลิขสิทธิ์ และการออกแบบบรรจุภัณฑ์ เพื่อส่งเสริมการสร้างแบรนด์ ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องที่กรมดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2564 โดยที่ผ่านมาได้ส่งเสริมสินค้าชุมชนไปแล้ว ในภาคเหนือ กลาง และตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 9 จังหวัด ได้แก่ นครสวรรค์ ราชบุรี สมุทรสงคราม จันทบุรี นครนายก ฉะเชิงเทรา ศรีสะเกษ อุบลราชธานี และเชียงราย สำหรับปี2569กรมจะเดินหน้าสนับสนุนสินค้าชุมชนในจังหวัดภาคใต้เพื่อใช้ทรัพย์สินทางปัญญาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าชุมชนครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วไทย และ (3) ขยายความร่วมมือกับสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (SACIT) เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนและผลักดันงานศิลปหัตถกรรมไทยให้ได้รับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาและนำไปต่อยอดใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ต่อไป
- มิติที่สอง “ทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อธุรกิจ” (IP for Business)
เน้นการอำนวยความสะดวกการจดทะเบียนคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาและการใช้ประโยชน์ทรัพย์สินทางปัญญาในเชิงพาณิชย์ ให้กับนักธุรกิจ ดังนี้
(1) พัฒนางานบริการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาให้ง่าย สะดวก รวดเร็ว โดยนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น AI มาช่วยพัฒนาระบบตรวจสอบสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า และนำระบบ Fast Track มาช่วยลดระยะเวลาการจดทะเบียนสิทธิบัตรเครื่องหมายการค้า และอนุสิทธิบัตร โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินการเปิด Fast Track หรือช่องทางพิเศษที่สามารถจดทะเบียนสิทธิบัตรได้รวดเร็วขึ้น โดยในกรณีสิทธิบัตรการประดิษฐ์จากที่เคยใช้เวลาประมาณ 38.5 เดือน นับจากวันยื่นขอให้ตรวจสอบการประดิษฐ์ เหลือไม่เกิน 12 เดือน และอนุสิทธิบัตรจาก 12 เดือน เหลือ 6 เดือน ใน 3 นวัตกรรมแห่งอนาคต คือ การแพทย์และสาธารณสุข อาหารแห่งอนาคต และรักษ์สิ่งแวดล้อม สำหรับในปี 2569 มีแผนจะเพิ่ม Fast Track ในอุตสาหกรรมชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เป็นต้น นอกจากนี้ ในส่วนของการจดทะเบียนสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ ซึ่งปัจจุบันมีช่องทาง Fast Track ในสาขานวัตกรรมรักษ์สิ่งแวดล้อมได้ลดระยะเวลาการจดทะเบียนจาก 10 เดือน นับจากวันสิ้นสุดระยะเวลาที่จะคัดค้าน เหลือ 3 เดือน
และจะขยายไปยังสาขาอื่นเพิ่มเติม เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง ในส่วนของการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าจะเพิ่มรายการเครื่องหมายการค้าในระบบ Fast Track จากปัจจุบันที่การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าจะมีระยะเวลาเฉลี่ย 10.5เดือน และมี Fast Track ใช้เวลาเหลือ 3 – 6 เดือน ในกรณีมีเครื่องหมายการค้าที่ต้องใช้ประกอบการยื่นจดทะเบียนกับหน่วยราชการ เช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และ กรมวิชาการเกษตร หรือกรณีมีแผนจะส่งออก หรือใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ เป็นต้น โดยในปี 2569 จะเพิ่มช่องทาง Fast Track จดเครื่องหมายการค้าให้กับสินค้าที่จะขายออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล
(2) เดินหน้าบริการ Trademark Monitor หรือการเฝ้าระวังการนำเครื่องหมายการค้าของคนไทยไปจดทะเบียนในต่างประเทศอย่างต่อเนื่องโดยจะเปิดรับสมัครผู้ประกอบการ SMEs เข้าร่วมโครงการรอบใหม่ในเดือนพฤศจิกายน 2568
(3) ติดอาวุธผู้ประกอบการด้วยการเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องประโยชน์และการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาโดยการให้คำปรึกษาด้านทรัพย์สินทางปัญญาแบบครบวงจรทั้งผ่านศูนย์ IPAC(IP Advisory Center) ของกรมและร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรให้คำแนะนำตั้งแต่การจดทะเบียนคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาแนะแนวทางต่อยอดการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ การบริหารจัดการสิทธิอย่างมีประสิทธิภาพ และการป้องกันการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา(4) จะทำงานร่วมกับสถาบันการเงินและตลาดทุนเรื่องการประเมินมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อให้ SMEs สามารถนำทรัพย์สินทางปัญญาไปต่อยอดการทำธุรกิจและระดมทุน หรือขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้
- มิติที่สาม “ทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อการสร้างสรรค์วิจัยและนวัตกรรม” (IP for Innovatio
ผ่านการดำเนินงานสำคัญ ดังนี้
(1) ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ทรัพย์สินทางปัญญาเชิงพาณิชย์ การสร้างโอกาสทางการค้า และการจับคู่ธุรกิจให้กับนักสร้างสรรค์ ผ่านแพลตฟอร์มตลาดกลางทรัพย์สินทางปัญญา (IP Mart) การจัดงานมหกรรมทรัพย์สินทางปัญญา (IP Fair) และการจัดงานไลเซนซิงคาแรกเตอร์และคอนเทนต์
(2) ต่อยอดความร่วมมือกับหน่วยงาน เช่น สถาบันการศึกษาเพื่อสร้างเครือข่ายส่งเสริมเทคโนโลยีและนวัตกรรมร่วมกัน รวมทั้งบูรณาการความร่วมมือกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ เพื่อยกระดับขีดความสามารถด้านนวัตกรรมของไทยตามกรอบ Global Innovation Index (GII) ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา และ
(3) ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญา โดยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญาและเทรนด์สิทธิบัตร เพื่อผู้ประกอบการได้ใช้ประโยชน์สามารถพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลก รวมทั้งเพิ่มระบบแจ้งเตือนสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่หมดอายุและใกล้หมดอายุความคุ้มครองในอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง นอกเหนือจากระบบการแจ้งเตือนสิทธิบัตรการประดิษฐ์หมดอายุหรือใกล้หมดอายุใน6 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักในปัจจุบัน เช่น ยา เคมี ไฟฟ้า เครื่องมือวัด เครื่องจักรกล และโลหะการและวัสดุ เพื่อส่งเสริมการต่อยอดนวัตกรรมใหม่และลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
- มิติที่สี่ “ทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อผู้บริโภค” (IP for Consumer)
ผ่านการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเข้มงวด โดยกระชับความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปูพรมปราบปรามสินค้าละเมิดฯ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะแหล่งกระจายสินค้า โกดังเก็บสินค้า ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำของสินค้าละเมิดฯ การใช้เทคโนโลยีเพื่อป้องกัน
การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาบนช่องทางออนไลน์ ความร่วมมือกับแพลตฟอร์ม e-Commerce ในการใช้มาตรการ Notice & Takedown นำสินค้าละเมิดฯ ออกจากแพลตฟอร์มทันทีที่ได้รับแจ้ง ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวเป็นไป
เพื่อตัดวงจรสินค้าละเมิดฯ อีกทั้งยังเป็นการปกป้องผู้บริโภคจากการหลอกลวงของสินค้าแบรนด์ปลอมและป้องกันอันตรายจากสินค้าที่ด้อยคุณภาพและมาตรฐาน นอกจากนี้ จะพัฒนาระบบการให้บริการของกรมเพื่อรองรับกลุ่มเปราะบาง เช่น ปรับปรุงระบบค้นหาข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญาให้รองรับการใช้บริการของผู้มีภาวะตาบอดสี
โดยเพิ่มการแสดงผลข้อมูล ที่เกี่ยวข้องกับสีให้มี Contrast หรือตัดกันไม่ผิดเพี้ยน และยังสามารถแยกแยะข้อมูลสำคัญ เช่น ปุ่มค้นหายืนยันสถานะคำขอ เป็นต้น ได้ชัดเจนขึ้นเพื่อส่งเสริมให้คนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงข้อมูลด้านทรัพย์สินทางปัญญาได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง
นางอรมน เน้นย้ำว่า โรดแมปหรือแผนงานตามแนวทาง “IP 4 All” ที่จะขับเคลื่อนตามนโยบาย Quick Big Win ของกระทรวงพาณิชย์ในครั้งนี้ จะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างระบบนิเวศด้านทรัพย์สินทางปัญญาให้เข้มแข็ง สร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดการค้าการลงทุนจากต่างชาติ ยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และสร้างรายได้ให้ประชาชนทุกระดับอย่างยั่งยืน
โชว์ผลงานปี 68จบ 3 ไตรมาสแรกยอดคำขอจดทะเบียนโตเพิ่มสะท้อนคนให้ความสำคัญเรื่องทรัพย์สินทางปัญญามากขึ้น
อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เผยสถิติการยื่นคำขอจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศไทย ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม - กันยายน 2568) มีการยื่นคำขอจดทะเบียนสูงถึง 55,699 คำขอ เพิ่มขึ้น 7.46% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 (51,833 คำขอ) และมีการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ 10,500 รายการ ลดลง 5.45% จากปี 2567 (11,105 รายการ) โดยรายละเอียดการยื่นคำขอจดทะเบียนและแจ้งข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญา (66,199 คำขอ) ดังนี้
1) เครื่องหมายการค้า มีการยื่นคำขอ 41,255 คำขอ เพิ่มขึ้น 7.28% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 (38,455 คำขอ) โดยมีสัดส่วนผู้ยื่นคำขอคนไทย 52% และต่างชาติ 48% สำหรับกลุ่มสินค้าที่มีการยื่นขอรับความคุ้มครองเครื่องหมายการค้ามากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มบริการค้าปลีก (5,287 คำขอ) กลุ่มสินค้าเครื่องสำอาง (5,236 คำขอ) และกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพอนามัย (4,667 คำขอ) ทั้งนี้ สินค้าเพื่อสุขภาพอนามัยเป็น
กลุ่มที่มาแรงและได้รับการจดทะเบียนมากที่สุด 3,692 เครื่องหมาย เพิ่มขึ้น 57% จากปี 2567 (2,339 เครื่องหมาย)
โดยเป็นคำขอที่ได้รับจดผ่านช่องทาง Fast Track จำนวน 1,525 เครื่องหมาย สะท้อนเทรนด์การค้าที่มุ่งตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ซึ่งให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพอนามัยมากขึ้น ทั้งนี้ ตัวเลขการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 30,392 เครื่องหมาย
2) สิทธิบัตรการประดิษฐ์ มีการยื่นคำขอ 6,161 คำขอ ซึ่งตัวเลขใกล้เคียงกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (6,071 คำขอ) โดยมีสัดส่วนผู้ยื่นคำขอคนไทย 10% และต่างชาติ 90% อาทิ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ฟินแลนด์ เป็นต้น สำหรับนวัตกรรมที่มีการยื่นขอรับความคุ้มครองสิทธิบัตรการประดิษฐ์มากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ วัสดุเหล็กกล้า (172 คำขอ) ซึ่งครองอันดับ 1 สองปีติดต่อกัน สะท้อนให้เห็นถึงอุตสาหกรรมวัสดุและการก่อสร้างที่มีการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง
รองลงมาคือนวัตกรรมแอนติบอดี้และยาชีววัตถุ (88 คำขอ) สะท้อนความสนใจที่เพิ่มขึ้นในด้านเทคโนโลยีชีวภาพและการวิจัยยา ตามด้วยนวัตกรรมแบตเตอรีและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง (65 คำขอ) ซึ่งสะท้อนภาพรวมของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยที่เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ตัวเลขการจดทะเบียนสิทธิบัตรการประดิษฐ์ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 4,108 ฉบับ
3) สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ มีการยื่นคำขอ 4,843 คำขอ เพิ่มขึ้น 15.34% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 (4,199 คำขอ) โดยมีสัดส่วนผู้ยื่นคำขอคนไทย 67% ส่วนใหญ่เป็นสถาบันการศึกษา และต่างชาติ 33%สำหรับการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีการยื่นขอรับความคุ้มครองมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ประเภทลวดลายผ้า (759 คำขอ) เครื่องประดับ (283 คำขอ) และบรรจุภัณฑ์ (263 คำขอ) ทั้งนี้ งานออกแบบถือเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่คนไทยมีศักยภาพโด่งดังระดับโลก จึงไม่ควรมองข้ามการนำผลงานมาจดทะเบียนรับความคุ้มครอง เพื่อให้มีกฎหมายเป็นหลักพิงหากเจอปัญหาถูกละเมิดหรือลอกเลียนแบบ ทั้งนี้ ตัวเลขการจดทะเบียนสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 4,029 ฉบับ
4) อนุสิทธิบัตร มีการยื่นคำขอ 3,440 คำขอ เพิ่มขึ้น 10.68% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 (3,108 คำขอ) โดยมีสัดส่วนผู้ยื่นคำขอเป็นคนไทย 95% และต่างชาติ 5% สำหรับนวัตกรรมที่มีการยื่นขอรับความคุ้มครองอนุสิทธิบัตรมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม (467 คำขอ) ยาสมุนไพร (203 คำขอ) และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกาย (57 คำขอ) โดยนวัตกรรมยาสมุนไพรเป็นสาขาที่มาแรง สะท้อนการเติบโตของเทรนด์สุขภาพและการแพทย์ ทั้งนี้ ตัวเลขการจดทะเบียนอนุสิทธิบัตร ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 1,490 ฉบับ
5) ลิขสิทธิ์ มีการยื่นแจ้งข้อมูล 10,500 ผลงาน ผู้แจ้งเกือบทั้งหมดเป็นคนไทย ผลงานที่มีการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์มากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ศิลปกรรม (จิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ ฯลฯ) 3,862 ผลงาน วรรณกรรม (งานนิพนธ์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์) 3,017 ผลงาน และดนตรีกรรม 2,345 ผลงาน ทั้งนี้ ลิขสิทธิ์เป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่ได้รับความคุ้มครองทันทีที่สร้างสรรค์ โดยไม่ต้องยื่นจดทะเบียนกับกรม สถิติดังกล่าวจึงไม่สามารถสะท้อนภาพรวมของงานสร้างสรรค์ไทยได้ทั้งหมด
อย่างไรก็ดี กรมจะเดินหน้าส่งเสริมให้ศิลปินนักสร้างสรรค์เห็นความสำคัญของการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์กับกรม เพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิงเบื้องต้นในการแสดงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในกรณีที่เกิดข้อพิพาท รวมทั้งเป็นช่องทางให้ผู้อื่นสามารถเข้าถึงผลงานและติดต่อขอใช้ประโยชน์งานลิขสิทธิ์นั้นได้ง่ายขึ้น
จับกระแสแนวโน้มเทคโนโลยีสิทธิบัตร “อาหารแห่งอนาคต”
โอกาสของไทย ท่ามกลางความท้าทายใหม่ของโลก
กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ศึกษาวิเคราะห์แนวโน้มเทคโนโลยีสิทธิบัตรด้านอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต (Future Food) และสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (Bioactive Compounds) จากฐานข้อมูลสิทธิบัตรทั่วโลกในรอบ 20 ปีพบว่า เป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูง และตอบโจทย์คนยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพและความยั่งยืน
นางอรมน เผยว่า จากการศึกษาเชิงลึกพบ 4 เทคโนโลยีกลุ่มย่อยที่มีการเติบโตต่อเนื่องและเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยได้แก่
(1) โปรตีนจากพืชและสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ หรือโปรตีนทางเลือกซึ่งนวัตกรรมดังกล่าวเคยอยู่ในจุดอิ่มตัว แต่กลับมาเติบโตอีกครั้งหลังช่วงโควิด-19 มีผู้ถือสิทธิบัตรประมาณ 2,100 – 2,900 ฉบับต่อปีส่วนใหญ่เป็นสถาบันการศึกษาและหน่วยงานวิจัย
(2) โภชนาการเฉพาะบุคคลอยู่ในระยะเติบโตต่อเนื่องโดยมีผู้ถือสิทธิบัตรประมาณ 800 – 900 ฉบับต่อปีส่วนใหญ่เป็นบริษัทยาชีวภาพและสถาบันวิจัย
(3) เทคโนโลยีการหมักโดยการใช้จุลินทรีย์เปลี่ยนวัตถุดิบอาหารให้มีคุณค่าทางโภชนาการเพิ่มขึ้นหรือช่วยปรับรสชาติ ปัจจุบันมีการแข่งขันเชิงคุณภาพนวัตกรรมเพิ่มขึ้นมีผู้ถือสิทธิบัตรประมาณ 200 – 300 ฉบับต่อปีซึ่งประเทศจีนมีสิทธิบัตรด้านการหมักจำนวนมาก
และ (4) การพิมพ์อาหาร 3 มิติ เป็นสร้างอาหารโดยการขึ้นรูปทีละชั้นและสามารถเติมสารอาหารลงไปได้อย่างละเอียดแม่นยำ เป็นนวัตกรรมใหม่มีโอกาสขยายตัวสูง มีผู้ถือสิทธิบัตรประมาณ 200 – 300 ฉบับต่อปีมีทั้งบริษัทยาและแบรนด์อาหารระดับโลกเข้ามาร่วมพัฒนา
สำหรับประเทศไทยยังมีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นหัวแถวในอุตสาหกรรมนี้ได้ โดยแนะนำให้ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัวและใช้จุดแข็งด้านภูมิปัญญาและทรัพยากรท้องถิ่นที่หลากหลายมาต่อยอดเป็นนวัตกรรมเชิงพาณิชย์เช่น การวิจัยค้นหาสารออกฤทธิ์ใหม่ๆ จากพืชการสร้างนวัตกรรมการหมักเพื่อต่อยอดสินค้า GI ในกลุ่มอาหารและพืชผลทางการเกษตร เป็นต้นจะเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ต้นทุนความหลากหลายทางชีวภาพแปลงเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง เพื่อนำมาต่อยอดใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาประเภทสิทธิบัตรได้
ทั้งนี้ สถิติคำขอจดสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคตในไทย ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 มีการยื่นคำขอสิทธิบัตร 190 คำขอ และอนุสิทธิบัตร 470 คำขอ มีการจดทะเบียนสิทธิบัตร 93 ฉบับ และอนุสิทธิบัตร 163 ฉบับ โดยกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคตถือเป็นหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่กรมจัดให้มีช่องทางเร่งรัดการจดทะเบียน(Fast Track)
จากทั่วไปที่ใช้ระยะเวลาเฉลี่ยของการจดทะเบียนสิทธิบัตรอยู่ที่ 38.5 เดือน นับจากวันยื่นขอให้ตรวจสอบการประดิษฐ์ เหลือเพียง 12 เดือนและอนุสิทธิบัตรจาก 12 เดือน เหลือ 6 เดือนซึ่งในปี 2568 มีผู้ยื่นคำขอในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคตผ่านช่องทาง Fast Track 18 คำขอ และกรมได้จดอนุสิทธิบัตรให้แล้วจากช่องทางนี้ 16 ฉบับ อาทิ ไอศกรีมนมอัลมอนด์เสริมโปรตีนจากจิ้งหรีด สารสกัดต้านอนุมูลอิสระ ข้าวเหนียวกึ่งสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์คล้ายเนื้อสัตว์ และสูตรผสมจุลินทรีย์โพรไบโอติก เป็นต้น

ไฟไหม้กลางวัน! บ้านไม้ 2 ชั้น ซอยเศรษฐกิจ 22 ลุกไหม้จำนวน 2 หลัง

"โตชิ" เปิดใจตรง ๆ ถึง "กระแต"หลัง "บู้บี้" หายบนเครื่อง

พบ พะยูน สุขภาพดี 2 ตัว ในหาดเจ้าไหม ตอกย้ำความสมบูรณ์ของทะเลตรัง

จับอีก! แรงงานกัมพูชาทะลักข้ามแดนต่อเนื่องคาป่าชายแดนสระแก้ว
