10 แมลงศัตรูพืช เกษตรกรต้องรู้ทัน ป้องกันถูกจุด รายได้ไม่มีตก

แมลงศัตรูพืชทางการเกษตร เป็นแมลงที่สร้างความเสียหายให้กับพืชผลทางการเกษตร ทำให้พืชเจริญเติบโตช้าลง ผลผลิตลดลง หรืออาจทำให้พืชตายได้ สร้างความเสียหายในหลายรูปแบบ อาทิ กัดกินและทำลายส่วนต่างๆ ของพืชโดยตรง เช่น ใบ ดอก ผล ราก ลำต้น ทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตลดลง หรือถึงขั้นตายได้ ดูดกินน้ำเลี้ยงจากพืช ทำให้พืชอ่อนแอ ใบเหลืองแห้ง แพร่เชื้อโรคพืช โดยเป็นพาหะนำเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อราจากพืชต้นหนึ่งไปสู่อีกต้นหนึ่ง

 

• 10 แมลงศัตรูพืชร้ายแรง ที่เกษตรกรควรเฝ้าระวัง

1. หนอนเจาะเมล็ดทุเรียน

เป็นแมลงศัตรูสำคัญและสร้างความเสียหายต่อผลผลิตทุเรียน ทำให้เนื้อทุเรียนเสียคุณภาพ ส่งผลกระทบต่อรายได้เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียน นอกจากนี้ หนอนเจาะเมล็ดทุเรียนยังเป็นศัตรูพืชกักกันที่สำคัญที่สามารถสร้างผลกระทบต่อการนำเข้าและส่งออกทุเรียน เกษตรกรควรตระหนักและให้ความสำคัญในการป้องกันกำจัดตั้งแต่ก่อนทุเรียนเข้าสู่ระยะของการพัฒนาผลจนถึงการเก็บเกี่ยว เพื่อป้องกันความเสียหายของผลผลิต รวมถึงการคัดคุณภาพผลผลิตก่อนการจำหน่าย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค

 

2. หนอนกระทู้ผัก

เป็นแมลงที่สำคัญที่พบเข้าทำลายพืชผักตระกูลกะหล่ำ (เช่น คะน้า กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี กวางตุ้ง ผักกาดขาว ผักกาดหอม ฯลฯ) โดยหนอนระยะแรกเข้าทำลายเป็นกลุ่ม ระยะต่อมาจะทำลายรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากหนอนมีขนาดใหญ่สามารถกัดกินใบ ก้าน หรือเข้าทำลายในหัวกะหล่ำ ทำความเสียหาย และยากแก่การป้องกันกำจัด และมักแพร่ระบาดได้รวดเร็วตลอดทั้งปีโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน

 

3. หนอนหัวดำมะพร้าว

เกษตรกรควรเฝ้าระวังการระบาดของหนอนหัวดำมะพร้าวเป็นพิเศษ ในช่วงฤดูร้อน (เดือนกุมภาพันธ์ ถึง เดือนพฤษภาคม) เนื่องจากมีสภาพอากาศร้อน มีแดดจัด เหมาะสมต่อการแพร่ระบาด หนอนหัวดำมะพร้าวระยะตัวหนอนเข้าทำลายใบมะพร้าว โดยใบที่ถูกหนอนหัวดำมะพร้าวทำลายจะมีลักษณะแห้งเป็นสีน้ำตาล หากการทำลายรุนแรงจะพบว่า ต้นมะพร้าวถูกทำลายทั้งก้านทางใบ จั่นมะพร้าว ผลมะพร้าว และอาจทำให้มะพร้าวตายได้

 

 

4. เพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง

เพลี้ยแป้งมันสำปะหลังทำความเสียหายต่อมันสำปะหลัง โดยการดูดกินน้ำเลี้ยงตามส่วนต่าง ๆ จากนั้นก็จะขับถ่าย มูลหวาน ซึ่งเป็นที่อาศัยและเป็นอาหารของราดำ เมื่อราดำเจริญเติบโตทำให้การสังเคราะห์แสงของมันสำปะหลังเกิดขึ้นได้ไม่เต็มที่ ต้นที่ยังอ่อนอยู่ ยอดที่ถูกทำลายจะงอหงิกเป็นพุ่ม ลำต้นจะบิดเบี้ยวมีช่วงข้อถี่ มีผลต่อคุณภาพท่อนพันธุ์ หัวมีขนาดเล็ก เปอร์เซ็นต์แป้งต่ำ หากรุนแรงยอดจะแห้งตาย

 

5. แมลงหวี่ขาวยาสูบ

แมลงหวี่ขาวยาสูบ เป็นแมลงศัตรูพืชที่มีความสำคัญ พบแพร่ระบาดอย่างกว้างขวางทั่วทุกภาคของประเทศไทย สร้างความเสียหายโดยการดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบพืช และยังเป็นพาหะของเชื้อไวรัสสาเหตุของโรคใบด่างมาสู่พืช

 

6. เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล

เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลสามารถระบาดได้ตั้งแต่ช่วงข้าวระยะกล้าอายุประมาณ 1 – 20 วัน หากสภาพแวดล้อมเหมาะสม แต่จะพบการระบาดมากในช่วงข้าวระยะแตกกอ อายุประมาณ 30 – 50 วัน ระยะตั้งท้อง จนถึงระยะออกรวง อายุประมาณ 50 – 90 วัน ซึ่งเป็นช่วงอายุข้าวที่ต้องมีการป้องกันและเฝ้าระวังเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลมากที่สุด

 

7. เพลี้ยกระโดดหลังขาว

เพลี้ยกระโดดหลังขาวตัวเต็มวัยเข้ามาในแปลงข้าวช่วง 30 วันแรกหลังจากเป็นต้นกล้า โดยจะอาศัยอยู่บริเวณโคนต้นข้าว ใน 1 ฤดูปลูกสามารถเจริญเติบโตขยายพันธุ์ได้น้อยชั่วอายุกว่าเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล และชอบดูดกินน้ำเลี้ยงบนต้นอ่อนข้าว และขยายพันธุ์เป็นพวกปีกยาว จากนั้นจะอพยพออกจากแปลงข้าวก่อนที่ข้าวจะออกดอก เพลี้ยกระโดดหลังขาวพบเป็นแมลงประจำท้องถิ่นในภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากกว่าภาคกลาง

 

8. หนอนกระทู้หอม

เป็นแมลงศัตรูที่สำคัญในการสร้างความเสียหายกับพืชผัก และไม้ดอกหลายชนิด พบการระบาดได้ตามแหล่งปลูกทั่วประเทศ หนอนกระทู้หอมเป็นหนอนที่สามารถสร้างความต้านทานต่อสารเคมีกำจัดแมลงได้หลายชนิด และมีพฤติกรรมชอบหลบซ่อนตัว ส่งผลให้การป้องกันกำจัดเป็นไปได้ยาก และการระบาดจะรุนแรงมากในช่วงฤดูร้อน

 

9. จักจั่นในอ้อย

จักจั่นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำรงชีวิตและพืชอาศัยมาทำลายอ้อย ตัวอ่อนเป็นระยะที่เข้าทำลายอ้อย ซึ่งจะฝังตัวอยู่ในดินบริเวณรากอ้อย และใช้ปากดูดน้ำเลี้ยงจากรากอ้อย ทำให้รากช้ำ สูญเสียน้ำเลี้ยงส่งผลให้หน่อเหนือดินชะงักการเจริญเติบโตและแห้งตายในที่สุด สร้างความเสียหายให้กับเกษตรกรที่ปลูกอ้อย ทำให้เกษตรกรที่ได้รับความเสียหายบางรายต้องปรับเปลี่ยนชนิดพืชปลูก

 

10. หนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุด

หนอนกระทู้ข้าวโพดลายจุดเข้าทำลายตั้งแต่ข้าวโพดอายุ 7 วัน จนกระทั่งออกฝัก พบในระยะที่เป็นตัวหนอนเท่านั้น โดยกัดกินยอดและใบข้าวโพดตัวหนอนหลบซ่อนอยู่ที่ยอดหรือโคนกาบใบ ข้าวโพด ความเสียหายที่ปรากฏ ชัดเจน คือในระยะต้นอ่อนทำให้พืชตายระยะต้นแก่พืชจะไม่เจริญเติบโต ฝักลีบเล็กไม่สมบูรณ์

 

ขอบคุณข้อมูล  ศูนย์ข่าวกรมส่งเสริมการเกษตร , กรมส่งเสริมการเกษตร