เฟซกินี่ (Facekini) เทรนด์แฟชั่นไอ้โม่งกันแดดมาแรงในจีน

เฟซกินี่ (Facekini) หน้ากากกันแดดแบบเต็มหน้ากำลังฮิตในจีน ช่วยป้องกันรังสียูวี รับมืออากาศร้อนจัด สะท้อนค่านิยมผิวขาวใส และกลายเป็นสินค้าฟังก์ชันแฟชั่นยอดนิยม
"เฟซกินี่" (Facekini) กำลังกลายเป็นกระแสแรงในประเทศจีน ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนจัดและอุณหภูมิพื้นผิวถนนที่สูงกว่า 80 องศาเซลเซียส หน้ากากกันแดดแบบเต็มหน้าที่ทำจากผ้ายืดชนิดสแปนเด็กซ์หรือไนลอนนี้ ไม่เพียงช่วยป้องกันรังสียูวี แต่ยังตอบโจทย์ค่านิยมผิวขาวใสที่หยั่งรากลึกในสังคมจีน
จุดเริ่มต้นและวิวัฒนาการของ Facekini
เฟซกินี่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อกว่าทศวรรษที่ผ่านมา โดยชาวเมืองชิงเต่า มณฑลซานตง เมืองชายทะเลที่ผู้หญิงสูงวัยใช้สวมใส่เพื่อหลีกเลี่ยงแดดเผาและป้องกันแมงกะพรุน แม้จะมีลักษณะคล้ายหมวกนักมวยปล้ำหรือหมวกไอ้โม่ง แต่ประโยชน์หลักคือการรักษาผิวให้ปลอดภัยจากแดด ปัจจุบันเฟซกินี่ถูกพัฒนามาเป็นสินค้าแฟชั่นที่มีดีไซน์หลากหลาย ทั้งสีพื้นเรียบง่ายและลวดลายสะดุดตา ราคาตั้งแต่ไม่กี่ดอลลาร์ไปจนถึงเกือบ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1,600 บาท)
เหตุผลที่เฟซกินี่ได้รับความนิยม
1. อากาศร้อนจัดเป็นประวัติการณ์ – ทำให้ผู้คนต้องหาวิธีปกป้องตัวเองจากแดดแรง
2. ค่านิยมผิวขาวใส – ในสังคมจีน ผิวที่กระจ่างใสถือเป็นอุดมคติความงาม ผู้คนจึงพยายามหลีกเลี่ยงความหมองคล้ำ ฝ้า กระ และปัญหาผิวที่เกิดจากแสงแดด
สินค้ากันยูวีครบวงจรมาแรงในจีน
กระแสป้องกันรังสียูวีไม่ได้หยุดแค่เฟซกินี่ แต่ยังขยายไปสู่สินค้าอื่น ๆ เช่น
- หมวกปีกกว้าง
- เสื้อแขนยาวกันยูวี และแจ็คเก็ตเบา
- ปลอกแขนกันยูวี (ฮิตในหมู่ผู้ชาย)
- ร่มกันยูวี
- หมวกติดพัดลม และพัดลมพกพา
ในปี 2024 ยอดขายสินค้า UV-wear ของจีนพุ่งสูงถึง 8 หมื่นล้านหยวน (ราว 3.63 แสนล้านบาท) โดยเฟซกินี่มียอดขายเพิ่มกว่า 50% และปลอกแขนกันยูวีเติบโตถึงสองเท่า
วิถีชีวิตและความท้าทาย
สำหรับชาวเมืองชิงเต่า เฟซกินี่กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ผู้คนสวมใส่ริมชายหาด หรือแม้กระทั่งถอดออกแค่ช่วงกินแตงโมก่อนรีบสวมกลับ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนแสดงความกังวลต่อ "ความหมกมุ่นในการป้องกันแสงแดด" แต่เทรนด์นี้ยังคงขยายตัวและสะท้อนการปรับตัวของผู้คนต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความงามที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรม
เฟซกินี่ จึงไม่ใช่แค่แฟชั่นแปลกตา แต่คือสัญลักษณ์ของการผสมผสานระหว่างการดูแลสุขภาพ ความงาม และการปรับตัวต่อโลกที่ร้อนขึ้นทุกวัน