คำสาปชัยวรมันทั้ง 7 ข้อ เขมรพยายามถอนคำสาป แต่โดนฟ้าผ่าดับ 3 ศพ?

จากสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาในขณะนี้ หลายฝ่ายอาจตั้งคำถามว่า โอกาสที่ไทยจะชนะการศึกมีมากน้อยเพียงใด หรือเป็นไปได้หรือไม่ที่กัมพูชาจะเป็นฝ่ายประกาศชัยชนะ อย่างไรก็ตาม เมื่อประเมินจากปัจจัยด้านอาวุธ กำลังรบ และประวัติศาสตร์แล้ว ต้องยอมรับว่า กัมพูชาไม่มีทางชนะไทยได้เลย

 

ไทยนิวส์จึงขอย้อนรอยเหตุผลที่หลายคนมั่นใจว่า “กัมพูชาไม่มีทางชนะไทยอย่างแน่นอน” โดยอิงจากความเชื่อโบราณเรื่อง “คำสาปของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7” ซึ่งเชื่อกันว่า หากผู้ใดคิดจะทำลายอาณาจักรของพระองค์ จะต้องประสบกับความเสื่อมถอยและความแตกแยก โดยคำสาปนี้ถูกอ้างอิงจากศิลาจารึกที่ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งจารึกเมื่อ พ.ศ. 1563 ในรัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 (ครองราชย์ พ.ศ. 1545 - 1593) ไม่ใช่พระเจ้าชัยวรมัน

 

แม้ในเชิงหลักฐานทางประวัติศาสตร์จะมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนระหว่างคำสาปของชัยวรมันกับสุริยวรมัน แต่ข้อความในศิลาจารึกดังกล่าวนั้น กล่าวถึงการบริหารจัดการและการถวายทรัพย์แด่เทวสถาน พร้อมสาปแช่งผู้ที่จะทำลายสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อในอำนาจของคำสาปในยุคนั้น

"คำสาปชัยวรมัน" แม้ไม่มีหลักฐานทางการรองรับ ก็ยังเป็นตำนานความเชื่อที่แพร่หลายในหมู่ชาวกัมพูชาบางกลุ่ม โดยเชื่อว่าเกิดขึ้นราว 700 ปีก่อน ในช่วงปลายราชวงศ์พระนคร โดยสมเด็จพระเจ้าชัยวรมันที่ 9 หรือพระเจ้าชัยวรมันปรเมศวร เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของเชื้อสายสุริยวรมัน ก่อนจะถูกโค่นอำนาจโดยชายสามัญชื่อ “แตงหวาน” ซึ่งตั้งตนเป็นพระเจ้าตรอซ็อกผแอม หรือสมเด็จพระองค์ชัย กษัตริย์แห่งเมืองพระนครหลวง กัมพูชา

 

ทั้งนี้ มีการเล่าขานต่อกันมาว่า พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ได้สร้างคำสาปไว้ในศิลาจารึกว่า “ผู้ใดทรยศต่อเราและลูกหลาน จะตกอยู่ในความพินาศตลอดไป ถูกต่างชาติยึดครอง ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ไม่พัฒนา ไม่มีวันชนะลูกหลานของเราได้ และจะเผชิญภัยพิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่า” โดยเชื่อว่าคำสาปเริ่มแสดงอิทธิฤทธิ์นับตั้งแต่วันที่แตงหวานขึ้นครองราชย์

• ตำนานเล่าขานว่า "คำสาปชัยวรมัน" มีอยู่ 7 ข้อ ดังนี้

1. ผู้ถูกสาปจะถูกทำลายจนสูญสิ้นด้วยลูกหลานของวรมัน
2. ผู้ถูกสาปจะอยู่ภายใต้การปกครองของผู้อื่นเสมอ ถูกสยามและฝรั่งเศสปกครอง
3. ผู้ถูกสาปจะเข่นฆ่าล้างผลาญกันเองตราบชั่วลูกชั่วหลาน เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในยุคเขมรแดง
4. ผู้ถูกสาปจะต้องเป็นทาสของผู้อื่นตลอดไป
5. ผู้ถูกสาปจะต้องเผชิญกับหายนะและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
6. ลูกหลานของผู้ถูกสาปจะไม่มีวันรบชนะลูกหลานของชัยวรมัน
7. ผู้ถูกสาปจะล้าหลัง ไร้ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญา

 

แม้คำสาปนี้จะถูกจัดอยู่ในประเภทตำนานความเชื่อ ไม่มีการรับรองจากทางการกัมพูชา หรือนักวิชาการ แต่ก็ยังปรากฏในพิธีกรรมบางอย่างในยุคปัจจุบัน เช่น พิธีลึกลับเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 ที่ปราสาทนครวัด โดยมีผู้เข้าร่วมในพิธีจำนวนหนึ่ง แต่งดำเป็นตัวแทนทิศ ทำพิธีกรรมรอบเทวสถาน พร้อมเครื่องสังเวยต่าง ๆ

ต่อมา วันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 ได้เกิดเหตุฟ้าผ่าลงกลางปราสาทนครวัด มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บกว่า 30 ราย ซึ่งทั้งหมดเป็นชาวกัมพูชา จนเกิดกระแสเล่าลือว่าเป็นอาถรรพ์จากคำสาปชัยวรมัน อย่างไรก็ตาม ไม่มีรายงานเพิ่มเติมจากฝั่งกัมพูชาว่ามีผู้เสียชีวิตเพิ่มหรือมีผู้ที่อยู่ในพิธีออกมาเปิดเผยข้อมูลต่อ

 

สุดท้าย เมื่อพิจารณาจาก “คำสาปชัยวรมัน” จะเห็นได้ว่า หลายข้อดูสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันของกัมพูชา ทั้งด้านความล้าหลัง การไร้พัฒนา และการถูกเมินจากนานาประเทศ โดยเฉพาะในยุโรปที่ไม่คบค้าสมาคมทางการทูต ทำให้ตำนานคำสาปนี้ยังคงถูกหยิบยกมาพูดถึงอย่างต่อเนื่องในบางสังคมจนถึงปัจจุบัน