ข่าว

heading-ข่าว

"เดินเร็ว VS วิ่ง" แบบไหนผอมกว่ากัน "หมอเจด" เปิดข้อมูล ตอบให้ชัด ๆ

06 มิ.ย. 2568 | 11:03 น.
"เดินเร็ว VS วิ่ง" แบบไหนผอมกว่ากัน "หมอเจด" เปิดข้อมูล ตอบให้ชัด ๆ

ใครอยากลดน้ำหนักฟังทางนี้! หมอเจดตอบชัด เดินเร็วกับวิ่งอะไรเผาผลาญดีกว่ากัน? ไม่ใช่แค่แคลอรี แต่รวมถึงความเสี่ยง ผลต่อหัวใจ ข้อต่อ และความต่อเนื่องในระยะยาว

เดินเร็ว VS วิ่ง แบบไหนผอมกว่า? หมอเจด สรุปทุกปัจจัยให้ฟัง ทั้ง Afterburn, Heart Rate Zone และการเผาผลาญระยะยาว

"หมอเจดนพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ได้ออกมาโพสต์ข้อความระบุว่า

เดินเร็ว VS วิ่ง แบบไหนผอมกว่ากัน หมอเจด เปิดข้อมูล ตอบให้ชัด ๆ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

heading-ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เดินเร็ว VS วิ่งแบบไหนผอมไวกว่ากัน?

อันนี้เป็นคำถามยอดฮิตที่หลายคนถามหมอบ่อยมากกก แบบมากจริง ๆ เวลาเริ่มอยากลดน้ำหนัก ก็จะสงสัยว่า

“เราควรเดินเร็วดี หรือควรวิ่งไปเลย จะได้ผอมเร็ว ๆ?”

บางคนก็กลัวเข่าเจ็บ บางคนก็ขี้เกียจเหนื่อย

บางคนเดินจนเหนื่อยแล้ว แต่เลขบนตาชั่งก็ไม่ขยับซักที

วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังแบบง่าย ๆ เลยครับ ว่าจริง ๆ แล้ว

เดินเร็วกับวิ่ง มันต่างกันยังไง? แล้วแบบไหนที่ช่วยให้เราผอมเร็วกว่า?

มาดูไปทีละข้อกันเลยครับ

1. ใครเผาผลาญพลังงานได้มากกว่ากัน?

ถ้าเอาเรื่อง "ผอมไว" มาเป็นประเด็นหลักเนี่ย ต้องบอกก่อนเลยว่า

วิ่งเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าเดินเร็วครับ

ง่าย ๆ เลยก็คือ

•วิ่งประมาณ 8 กม./ชม. → เผาประมาณ 600 แคลอรี/ชั่วโมง

•เดินเร็วประมาณ 5-6 กม./ชม. → เผาประมาณ 300-400 แคลอรี/ชั่วโมง

ดูจากตัวเลขเหมือนจะชัดเลยใช่ไหมว่า “วิ่งดีกว่า”

แต่มันไม่ได้จบแค่นั้น!

เพราะร่างกายเราไม่ได้เลือกใช้พลังงานจากแคลอรีเหมือนกันตลอด

มันขึ้นอยู่กับว่า “เราเหนื่อยแค่ไหน” หรือพูดง่าย ๆ คือ

ออกกำลังกายอยู่ในโซนหัวใจโซนไหน?

แล้ว Heart Rate Zone คืออะไร?

มันคือระดับความหนักของการออกกำลังกายครับ แบ่งเป็น 5 โซน

แต่เอาแบบเข้าใจง่าย ๆ แค่ 3 โซนพอ

•โซน 2 (60–70% ของ Max Heart Rate): ใช้ไขมันเป็นหลัก เหมาะกับ “เดินเร็ว” หรือ “วิ่งเบา ๆ” → ลดไขมันช้าแต่ชัวร์

•โซน 3–4 (70–90%): ใช้ทั้งไขมัน + คาร์บ เหมาะกับวิ่งแบบจริงจัง

•โซน 5: เหนื่อยสุด ๆ เหมาะกับสั้น ๆ อย่าง sprint หรือ HIIT

ดังนั้น ต่อให้คุณ “เดิน” แต่ถ้าอยู่ในโซน 2 ได้ต่อเนื่องวันละ 40 นาที มันก็ลดไขมันได้ดีนะ

2. ผลต่อหัวใจและหลอดเลือด

ไม่ว่าจะเดินหรือวิ่ง ถ้าทำประจำก็มีผลดีต่อหัวใจทั้งนั้นครับ

แต่จะต่างกันที่ “ความหนัก” และ “ความเสี่ยง”

วิ่ง

•หัวใจเต้นแรงขึ้น → เสริมความแข็งแรงหัวใจเร็วขึ้น

•ได้ออกแรงแบบเต็ม ๆ ทั้งปอด หัวใจ กล้ามเนื้อ

เดินเร็ว

•เบากว่า เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่ม

•ลดความดันโลหิตได้ดี

•โอกาสเจ็บน้อยกว่าเยอะ!

โดยเฉพาะคนที่มีน้ำหนักเกิน, เข่าไม่ดี, อายุเยอะหน่อย เดินจะดีกับร่างกายมากกว่าครับ

แนะนำว่า เริ่มจากเดินเร็วไปก่อนก็ไม่เสียหายนะครับ ให้ร่างกายปรับตัว พอแข็งแรงขึ้นค่อย ๆ ขยับเป็นวิ่งช้า ๆ ได้

3. เมตาบอลิซึมกับการเผาผลาญ

นี่เป็นเรื่องที่คนชอบออกกำลังกายอยากรู้กันมากครับ

หลังวิ่งเสร็จแล้ว รู้ไหมว่า ร่างกายยังเผาผลาญพลังงานต่ออีกหลายชั่วโมง

เพราะมันเกิดสิ่งที่เรียกว่า Afterburn Effect (EPOC)

เหมือนร่างกายยังร้อนอยู่ ต้องใช้พลังงานเพิ่มเพื่อปรับสมดุล

แต่มันจะเกิดเฉพาะใน “การออกกำลังกายที่เข้มข้นพอ” เท่านั้นนะ เช่น วิ่งเร็ว วิ่ง HIIT

ส่วนเดินเร็วล่ะ?

เดินเร็วอาจจะไม่มี Afterburn แบบวิ่ง

แต่ข้อดีของมันคือ “คุณทำได้นานกว่า” เช่น เดิน 1 ชั่วโมงทุกวัน

ก็เผาได้เยอะเหมือนกัน แถมไม่เสี่ยงเข่าพัง

เปรียบเทียบง่าย ๆ

•วิ่ง 30 นาที เผา 400 แคลอรี + Afterburn เพิ่มอีก 100

•เดินเร็ว 1 ชั่วโมง เผาได้ประมาณ 350–400 แคลอรี

รวม ๆ แล้วพอ ๆ กัน ถ้าเดินได้สม่ำเสมอ

4. กระดูก ข้อต่อ และกล้ามเนื้อ

เรื่องนี้สำคัญมากโดยเฉพาะถ้าคุณน้ำหนักเยอะ หรืออายุเริ่มมากแล้ว

อย่างที่รู้กันว่าวิ่งอาจมีแรงกระแทกมาก

ถ้าวิ่งผิดท่า, พื้นแข็ง หรือไม่วอร์มดี ทำให้เสี่ยงเข่าพัง, เอ็นอักเสบได้ง่ายมาก

แต่ถ้าวิ่งถูกวิธีกล้ามเนื้อ, กระดูก, เอ็น จะถูกกระตุ้นให้แข็งแรงขึ้น

ส่วนเดินเร็วกระแทกน้อยกว่าเยอะมาก

เหมาะมากสำหรับคนที่เพิ่งเริ่ม, คนอ้วน, หรือคนที่เข่าไม่ค่อยดี

แถมถ้าเดินแบบมีการแกว่งแขน ใช้ลำตัวร่วมด้วย ก็ช่วยสร้างกล้ามเนื้อได้หลายส่วนเลยนะ

5.สุดท้าย (แต่สำคัญที่สุดเลย) คือคำว่า “ทำต่อเนื่องได้ไหม?”

คือบางคนตั้งใจจะวิ่งทุกวัน แต่สุดท้ายทำได้อาทิตย์ละ 1–2 วัน เพราะเหนื่อย

แต่บางคนเดินเร็วทุกวัน สบาย ๆ 40 นาทีหลังเลิกงาน ผลรวมออกมาดีกว่าเยอะ

ลองดูเปรียบเทียบง่าย ๆ

•วิ่ง 2 วัน/สัปดาห์ × 600 แคลอรี = 1,200 แคลอรี

•เดินเร็ว 6 วัน/สัปดาห์ × 350 แคลอรี = 2,100 แคลอรี

ผอมกว่าแบบไหน ก็ตอบไม่ยากแล้วเนอะ

การเดินเร็วอาจดูช้า แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ มันคือ "ทางเลือกที่ยั่งยืน" มากกว่า

ทำได้จริงในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องเจ็บ

สุดท้ายคนที่จะตอบว่า แล้วควรเลือกอะไรดี ก็คือคุณนะ

•“แบบไหนที่ฉันสามารถทำได้บ่อย และทำได้นาน?”

•“ฉันมีข้อจำกัดทางร่างกายอะไรไหม?”

•“ฉันโอเคกับความเหนื่อยแค่ไหน?”

ถ้า“ฉันโอเคกับการวิ่ง” ลุยเลยครับ วิ่งได้ก็สุดยอด

แต่ถ้าคุณรู้สึกว่า “ฉันเดินเร็วดีกว่า ไม่เจ็บ ไม่เหนื่อยมาก ทำได้ทุกวัน” นั่นแหละคือคำตอบของคุณ

เพราะการออกกำลังกาย ไม่ใช่เรื่องของใครเร็วกว่าใคร

แต่มันคือ “เราทำได้แค่ไหน และทำได้นานแค่ไหน”

สิ่งที่เวิร์กที่สุด คือสิ่งที่ “คุณทำได้ต่อเนื่อง” ครับ

ใครอยากเริ่มวันนี้ ลองตั้งเป้าสั้น ๆ ก่อน เช่น เดินเร็ววันละ 20–30 นาที

แล้วค่อยขยับเวลาและความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ

เชื่อว่าไม่กี่เดือนคุณจะเห็นผล ใครมีคำถามคอมเมนตืได้เลยนะครับ

ข่าวล่าสุด

heading-ข่าวล่าสุด

ข่าวเด่น

"สถานทูตจีน"แถลงการณ์ ฝากถึงไทย-กัมพูชา หลังปัญหาชายแดนปะทุ

"สถานทูตจีน"แถลงการณ์ ฝากถึงไทย-กัมพูชา หลังปัญหาชายแดนปะทุ

เปิดคำแถลง"เตีย เซ็ยฮา" ลั่นกัมพูชาไม่ถอย หลังคุย ภูมิธรรม

เปิดคำแถลง"เตีย เซ็ยฮา" ลั่นกัมพูชาไม่ถอย หลังคุย ภูมิธรรม

ผบ.เหล่าทัพผนึกกำลังพร้อมใจหนุน ทบ. ปกป้องอธิปไตยชาติ

ผบ.เหล่าทัพผนึกกำลังพร้อมใจหนุน ทบ. ปกป้องอธิปไตยชาติ

ยื่น ศปอส.ตร. สอบจริยธรรมนินทาอาการป่วย ทักษิณ ผ่านกรุ๊ปไลน์

ยื่น ศปอส.ตร. สอบจริยธรรมนินทาอาการป่วย ทักษิณ ผ่านกรุ๊ปไลน์

รวบแอดมินเพจปลอม หลอกขายที่พักสวนผึ้ง พบผู้เสียหายจำนวนมาก

รวบแอดมินเพจปลอม หลอกขายที่พักสวนผึ้ง พบผู้เสียหายจำนวนมาก