ต้องรู้ โควิด-19 ปี 2568 คู่มือป้องกันตัวเอง เข้าใจอาการ และวิธีรับมือ

แม้สถานการณ์โควิด-19 ในปี 2568 จะรุนแรงน้อยลง ผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตลดลงมาก แต่ประเทศไทยยังคงพบผู้ติดเชื้อรายใหม่อย่างต่อเนื่องตามรายงานของกระทรวงสาธารณสุขและกรมควบคุมโรค ต้องรู้ โควิด-19 ปี 2568 คู่มือป้องกันตัวเอง เข้าใจอาการ และวิธีรับมือ
ต้องรู้ โควิด-19 ปี 2568 คู่มือป้องกันตัวเอง เข้าใจอาการ และวิธีรับมือ
แม้ว่าในปี 2568 จำนวนผู้ป่วยโควิด-19 อาการรุนแรงและผู้เสียชีวิตจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับช่วงแรกของการระบาด แต่ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขและกรมควบคุมโรคของประเทศไทยยังคงรายงานการพบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่เป็นประจำ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงาน เด็กเล็ก และผู้สูงอายุ และพบว่า เชื้อโอมิครอน JN.1 ยังคงเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในประเทศไทย ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน นอกจากนี้ยังมีการเฝ้าระวังสายพันธุ์ XEC ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว แม้จะมีอาการไม่รุนแรงมากนักในผู้ป่วยทั่วไป แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังในกลุ่มเสี่ยง
อาการของโควิด-19 สายพันธุ์ปัจจุบัน (ปี 2568)
อาการของโควิด-19 ในปัจจุบัน โดยเฉพาะสายพันธุ์โอมิครอนและสายพันธุ์ย่อยอื่น มักมีความคล้ายคลึงกับไข้หวัดทั่วไปหรือไข้หวัดใหญ่ ทำให้บางคนอาจสับสนหรือไม่แน่ใจว่าเป็นอาการของโควิด-19 หรือไม่ อาการที่พบบ่อย ได้แก่
- มีไข้ หรือรู้สึกหนาวสั่น อาจมีไข้ต่ำๆ ถึงไข้สูง (รู้สึกร้อนที่หน้าอกหรือหลัง)
- เจ็บคอ คอแห้ง หรือคันคอ เป็นอาการที่พบได้บ่อย
- ไอ อาจเป็นไอแห้ง หรือมีเสมหะ ไอต่อเนื่อง หรือไอหลายครั้ง
- คัดจมูก มีน้ำมูกไหล
- ปวดศีรษะ อาจปวดเมื่อยตามร่างกายร่วมด้วย
- อ่อนเพลีย ไม่มีแรง รู้สึกเหนื่อยง่าย
- คลื่นไส้ อาเจียน พบได้ในบางราย
- ท้องเสีย พบได้ในบางราย
- เบื่ออาหาร
- การรับกลิ่นหรือรับรสเปลี่ยนแปลง หรือสูญเสียไป แม้จะพบน้อยลงในสายพันธุ์ปัจจุบัน แต่ก็ยังอาจเกิดขึ้นได้ในบางราย
- ตาแดง
- มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง
- นิ้วมือหรือนิ้วเท้าเปลี่ยนสี
ข้อสังเกตสำคัญ: ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรงหรือแสดงอาการเพียงเล็กน้อย และมักไม่มีอาการลงปอดจนน่ากังวลเหมือนสายพันธุ์ดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม กลุ่มเปราะบางหรือกลุ่ม 608 (ผู้สูงอายุ, ผู้มีโรคประจำตัว, หญิงตั้งครรภ์) ยังคงต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะมีความเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงได้มากกว่า
การป้องกันโควิด-19 ในปี 2568
การสวมหน้ากากอนามัย
- ในพื้นที่ปิดหรือมีคนหนาแน่น เช่น รถขนส่งสาธารณะ โรงพยาบาล สถานที่ราชการ หรือสถานที่ที่มีการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก
- เมื่อมีอาการป่วยระบบทางเดินหายใจ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น
- ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ หรือผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เมื่อต้องอยู่ในที่สาธารณะ
การล้างมือบ่อยๆ
- ด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้น 70% ขึ้นไป
- โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ หลังไอ จาม หรือสัมผัสสิ่งของสาธารณะ
หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า โดยเฉพาะตา จมูก และปาก โดยไม่จำเป็น
รักษาระยะห่างทางสังคม ในที่สาธารณะและพื้นที่แออัด หากเป็นไปได้
ตรวจ ATK (Antigen Test Kit) หากมีอาการเข้าข่าย หรือหากมีประวัติสัมผัสผู้ติดเชื้อ เพื่อให้ทราบผลและปฏิบัติตนได้อย่างเหมาะสม
พักผ่อนให้เพียงพอ และดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
กรณีที่ควรไปพบแพทย์หรือเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
- มีไข้สูงต่อเนื่อง หายใจหอบเหนื่อย
- หายใจลำบาก เจ็บแน่นหน้าอก
- อาการแย่ลง หรือไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน
- อยู่ในกลุ่ม 608 และมีอาการแม้เพียงเล็กน้อย
ยาต้านไวรัส การพิจารณาให้ ยาต้านไวรัสโควิด (เช่น Favipiravir, Molnupiravir, Paxlovid) จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ โดยพิจารณาจากอาการ ความรุนแรงของโรค และปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วย โดยมีเป้าหมายเพื่อให้การใช้ยาเป็นไปอย่างเหมาะสม ปลอดภัย และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อประชาชน การรับมือกับ "Long COVID" แม้ว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายจากโควิด-19 ได้โดยไม่มีอาการหลงเหลือ แต่บางรายอาจประสบภาวะ "Long COVID" หรือภาวะอาการหลังป่วยโควิด-19 ซึ่งอาจมีอาการต่อเนื่องยาวนานเป็นสัปดาห์หรือหลายเดือนหลังหายจากการติดเชื้อเฉียบพลัน อาการที่พบบ่อย ได้แก่
- อ่อนเพลียเรื้อรัง
- หายใจลำบาก หรือหายใจไม่อิ่ม
- ไอเรื้อรัง
- ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว
- สมองล้า (Brain fog) ปัญหาด้านความจำ สมาธิ
- ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล
- นอนไม่หลับ
- ผมร่วง
- การรับกลิ่นและรสผิดปกติ
โควิด-19 ในปี 2568 ยังคงเป็นโรคที่เราต้องเฝ้าระวังและปรับตัวอยู่ร่วมกับมัน การทำความเข้าใจอาการของโรค การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันพื้นฐานอย่างสม่ำเสมอ และการเข้ารับวัคซีนตามคำแนะนำ ยังคงเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ การเจ็บป่วยรุนแรง และการเสียชีวิต หากมีอาการที่น่าสงสัย ควรรีบตรวจหาเชื้อและปรึกษาแพทย์ เพื่อให้ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ผ่านการฉีดวัคซีนและการดูแลสุขภาพตนเองอย่างดีที่สุด คือการปกป้องตนเองและสังคมให้ปลอดภัยจากโรคนี้
ขอบคุณ : ข้อมูลจาก โรงพยาบาลพริ้นซ์ อุทัยธานี

ภูมิธรรม ยัน กัมพูชารุกล้ำจริงแต่ไม่ใช่การบุก ยันยึดแนวทางเจรจา

"ต๊ะ นารากร" โพสต์ชวนคิด เผยสาเหตุสำคัญ ปม นายกรัฐมนตรี เมื่อวาน

ผักบุ้ง ผักบ้าน ๆ ที่ไม่ธรรมดา! ประโยชน์แน่นล้น บำรุงครบ

NETA V II ลดราคาเหลือ 3 แสนบาท ดีลเลอร์ทยอยปิดกิจการ จับตาตลาด EV ไทย
