บุกรวบ หมอเถื่อนอ้างตัวเป็นแพทย์ ทำงานคลินิกเสริมความงามชื่อดัง

25 กุมภาพันธ์ 2566

ตำรวจสอบสวนกลางร่วม อย. และ สบส. บุกรวบ หมอคลินิกเสริมความงามชื่อดัง อ้างตัวเป็นแพทย์ทำงานคลินิกเสริมความงาม

จากกรณีเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมกันแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาอ้างตัวเป็นแพทย์ทำงานคลินิกเสริมความงาม 

บุกรวบ หมอเถื่อนอ้างตัวเป็นแพทย์ ทำงานคลินิกเสริมความงามชื่อดัง

โดยได้ร่วมกันจับกุม นายพัสกร (สงวนนามสกุล) อายุ 36 ปี ในความผิดฐาน “ประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต, ประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต, ดำเนินกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต, ขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต, ขายยาที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนตำรับยา และขายเครื่องมือแพทย์โดยไม่ได้รับอนุญาต”

สืบเนื่องจากกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคได้รับแจ้งเบาะแสจากประชาชนว่า มีคลินิกเสริมความงามเปิดให้บริการรับฉีดวิตามินผิว, ฟิลเลอร์, โบท็อก และร้อยไหม โดยแพทย์ซึ่งไม่มีใบประกอบวิชาชีพ ในซอยอนามัย ถนนศรีนครินทร์ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร

จึงทำการสืบสวนขยายผลจนทราบข้อมูลว่า สถานพยาบาลดังกล่าว ชื่อ “วีบีจีคลินิก” มี นายพัสกร (สงวนนามสกุล) แสดงตนแอบอ้างเป็นนายแพทย์ ให้บริการฉีดรักษา เสริมความงามแก่ประชาชนทั่วไปจริง ซึ่งไม่มีความรู้ ความชำนาญ อย่างแพทย์ผู้มีวิชาชีพ ทำให้ประชาชนหลงเชื่อและเข้ารับบริการ โดยไม่ได้ตรวจสอบว่าแพทย์ที่ทำการรักษา เป็นแพทย์จริงหรือไม่ เสี่ยงต่อสุขภาพ และอาจถึงแก่ชีวิตได้

บุกรวบ หมอเถื่อนอ้างตัวเป็นแพทย์ ทำงานคลินิกเสริมความงามชื่อดัง

 

เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปคบ., สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) และ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) จึงได้ร่วมกันวางแผนเข้าทำการตรวจค้นและจับกุมสถานพยาบาลดังกล่าวในทันที ต่อมาวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปคบ. ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) และ กรมสนับสนุนบริการ

สุขภาพ(สบส.) เข้าทำการตรวจสอบ “วีบีจีคลินิก” เลขที่ 471 ซอย อนามัย ถนนศรีนครินทร์ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร พบว่าคลินิกดังกล่าวเปิดให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปอยู่ และพบ นายพัสกรฯ แสดงตัวเป็นแพทย์ ทำการตรวจรักษา โดยเป็นผู้ผสมตัวยา และกำลังฉีดยาเข้าเส้นเลือดให้ผู้ที่เข้ารับบริการด้วยตนเอง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้จับกุมตัว นายพัสกรฯ และได้ตรวจยึด เครื่องมือแพทย์ และผลิตภัณฑ์ยาอื่นที่เป็นความผิด กว่า 26 รายการ ส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปคบ.ดำเนินคดี

โดยเจ้าหน้าที่ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) ได้ตรวจสอบ ใบประกอบกิจการสถานพยาบาล และใบประกอบกิจการดำเนินสถานพยาบาล สถานพยาบาล พบว่าได้รับอนุญาตถูกต้อง แต่ได้รับรักษาพยาบาลนอกเวลาที่ได้รับอนุญาต และไม่มีแพทย์ที่มีใบประกอบโรคศิลป์ให้การรักษา

โดย นายพัสกรฯ รับว่าตนไม่ใช่แพทย์ ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการแพทย์แต่อย่างใด โดยเรียนจบเพียงการศึกษาระดับชั้นปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ จากนั้นได้เข้าทำงานในคลินิกเสริมความงามในตำแหน่งผู้ช่วยพยาบาล เนื่องจากมีความสนใจในด้านศัลยกรรมเสริมความงาม และเห็นช่องทางว่ามีรายได้ดี จึงเริ่มรับงานโดยแอบอ้างตัวเป็นแพทย์เฉพาะทาง รับฉีดวิตามินผิว, ฟิลเลอร์, โบท็อก ร้อยไหม นอกสถานที่ในลักษณะหมอกระเป๋า และรับงานรักษาในคลินิกกรณีคลินิกนัดหมายลูกค้าให้

โดยทำมาแล้วประมาณ 5 ปี มีรายได้เดือนละ 30,000-40,000 บาท จากข้อมูลการสืบสวน นายพัสกรฯ ได้ทำการให้บริการเสริมความงามให้ผู้รับบริการคลินิคดังกล่าวกว่า 120 ราย และให้บริการรับฉีดฟิลเลอร์บริเวณหน้าผากด้วย ซึ่งแพทย์โดยทั่วไปไม่รับฉีดบริเวณดังกล่าวเนื่องบริเวณดังกล่าวเป็นจุดที่มีความอันตรายสูง เพราะมีเส้นเลือดเชื่อมต่อไปยังจอประสาทตา และสมอง หากแพทย์ที่ทำการฉีดไม่มีความชำนาญมากพอ อาจทำให้อาจเกิดผลกระทบโดยตรงถึงขั้นตาบอดได้

การกระทำของผู้ต้องหาดังกล่าวเป็นความผิดตาม

1. พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 ฐาน “ประกอบวิชาชีพเวชกรรม โดยไม่ได้รับอนุญาต” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2. พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 ฐาน “ประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต และดำเนินกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

3. พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 ฐาน “ขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท และ “ขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

4. พระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2551 ฐาน “ขายเครื่องมือแพทย์โดยไม่ได้รับอนุญาต” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดทุกข้อกล่าวหา และในส่วนเจ้าของคลินิกดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการสืบสวนขยายผล และออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหาในความผิดฐาน “ประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต และดำเนินกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต”ต่อไป 



ขอบคุณเนื้อหาจาก Police TV สถานีโทรทัศน์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมที่ Tnews