เตือนโควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย ใกล้ฉุดไม่อยู่ คาดอีก 2-3 เดือนแทนที่ อังกฤษ

28 มิถุนายน 2564

ผลเฝ้าระวังเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์ กทม.พบสัดส่วนสายพันธุ์เดลต้า (อินเดีย) ครองสัดส่วนระบาดเพิ่มกว่า 32% คาด 2 - 3 เดือน อาจแซงอัลฟา (อังกฤษ)ได้ ย้ำวัคซีนโควิดปัจจุบัน ยังคุมอยู่

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์  อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เผยว่า จากระบบเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์เชื้อโควิด-19 ล่าสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (21-27 มิ.ย.) ภาพรวมทั่วประเทศสัดส่วนสายพันธุ์เดลต้า (อินเดีย) เพิ่มขึ้นเป็น 16.59% สายพันธุ์ เบต้า (แอฟริกาใต้) เพิ่มเป็น 3.22% ขณะที่สายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษ) ลดเหลือ 80.19% 

 

แยกเป็นรายพื้นที่จะพบความแตกต่างระหว่าง กทม. และต่างจังหวัด คือ กทม. พบสายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษ) เหลือ 67.51% ส่วนสายพันธุ์เดลต้า (อินเดีย) เพิ่มเป็น 32.39% คิดเป็น 1 ใน 3 ของคนในพื้นที่ กทม. หรือเพิ่มขึ้น ราว 3% ใน 1 สัปดาห์ หากยังเป็นในอัตรานี้คาดภายใน 2-3 เดือน พื้นที่ กทม.สายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษ) จะถูกสายพันธุ์เดลต้า (อินเดีย) แซงกลายป็นสายพันธุ์ที่ระบาดมากสุดในพื้นที่ 

สำหรับสายพันธุ์เบต้า (แอฟริกาใต้) ที่พบในพื้นที่ กทม.นั้น เป็นเคสพ่อ ที่ลูกกลับมาจากใต้เพื่อเยี่ยมแล้วนำเชื้อมาติดทั้งที่ไม่มีอาการ ขณะนี้ ควมคุมได้ไม่น่าเป็นห่วง ส่วนสถานการณ์ระบาดพื้นที่ต่างจังหวัด สายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษ) ยังเป็นเชื้อส่วนใหญ่ที่มีการระบาด 92.82% สายพันธุ์เดลต้า (อินเดีย) ยังพบ 5.05% ส่วนใหญ่ยังเชื่อมโยกับคัสเตอร์แคมป์คนงานในพื้นที่ กทม. ยกเว้นพื้นที่ภาคใต้ ที่น่าสังเกตคือสายพันธุ์เดลต้า (อินเดีย) เดิมไม่พบในพื้นที่ภาคใต้แต่วันนี้พบแล้ว 2 รายที่ จ.นราธิวาส (ข้ามมาจากรัฐเคดาห์ มาเลย์) ส่วนสายพันธุ์เบต้า (แอฟริกาใต้) พื้นที่ต่างจังหวัดยังพบเพียง 2.13% 

กรณีการฉีดวัคซีน จากข้อมูลล่าสุดศึกษาประสิทธิภาพเฉพาะป้องกันการติดเชื้อ หลังรับวัคซีนซิโนแวค จากพื้นที่จริงต่อสายพันธุ์อัลฟา(อังกฤษ) ภูเก็ตพบผู้ได้รับวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็มห่าง 14 วัน สามารถป้องกันได้ 97% สมุทรสาคร กันได้ 90.5%  เชียงราย 82.8% ในภาพรวมคือกันได้ 70.9% ส่วนกรณีฉีดไปเข็มเดียว ภาพรวมสามารถกันได้ 39.4% 

“การเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์เป็นเรื่องปกติ  ไม่ต้องตระหนก มาตรการป้องกันส่วนบุคคลยังเป็นเรื่องสำคัญที่ป้องกันได้ทุกสายพันธุ์ เช่น สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง” อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระบุ

ที่มา สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์