สังคม

heading-สังคม

"หมอเลี๊ยบ"เตือนประชาชน ให้ความรู้โควิดสายพันธุ์อังกฤษอย่างละเอียด

20 เม.ย. 2564 | 15:29 น.
"หมอเลี๊ยบ"เตือนประชาชน ให้ความรู้โควิดสายพันธุ์อังกฤษอย่างละเอียด

นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี"หมอเลี๊ยบ" ได้ออกมาโพสต์ข้อความ ยกผลวิจัยต่างชาติ เกี่ยวกับโควิดสายพันธุ์อังกฤษอย่างละเอียด แนะนำคนไทย ตื่นตัว ไม่ตื่นกลัว อัตราตายของโควิดสายพันธุ์อังกฤษน้อยกว่าสายพันธ์ุอื่น 3.4 เท่า

"หมอเลี๊ยบ"นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ได้ออกมาโพสต์ถึงประชาชนคนไทยเกี่ยวกับความรู้เรื่องโควิด-19 สายพันธุ์อังกฤษ ซึ่งตอนนี้คนไทยกำลังหวาดกลัวอยู่ว่า

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

heading-ข่าวที่เกี่ยวข้อง

โควิด : ตื่นตัว ไม่ตื่นกลัว

อัตราตายของโควิดสายพันธุ์อังกฤษน้อยกว่าสายพันธ์ุอื่น 3.4 เท่า

แต่อัตราตายสูงขึ้นถ้ามีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

คำเตือน 1 : เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

คำเตือน 2 : บทความนี้ยาวและมีตัวเลขมากมาย

     วันที่ 18 เมษายน 2564 มีผู้ป่วยโควิดรายใหม่ในประเทศไทย 1,767 ราย นับว่ามากที่สุดตั้งแต่มีการระบาดของโควิด แต่ผมยังยืนยันว่า ท่าทีของเราต่อโควิดคือ อย่าตื่นกลัวแต่ต้องตื่นตัว

ระลอกใหม่นี้ระบาดอย่างรวดเร็วจากเหตุ 3 ประการ

ประการแรก : ตัวเชื้อไวรัสที่แพร่ได้แม้ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อย

ประการที่สอง : ผู้ติดเชื้อจากคลัสเตอร์มีพฤติกรรมทางสังคมที่อำนวยในการแพร่เชื้อ

ประการที่สาม : การรับมือของผู้รับผิดชอบล่าช้า

ส่วนข่าวเรื่องสายพันธ์ุอังกฤษซึ่งพบว่าเป็นสายพันธ์ุที่ระบาดในระลอก 3 นี้ แล้วบอกต่อกันว่า ระบาดได้เร็วขึ้น 1.7 เท่า และอัตราตายสูงขึ้น 64% นั้น ผมเห็นว่าสมควรตรวจสอบข้อมูล ที่มาที่ไปของข่าว

โควิด-19 เป็นโรคติดต่อใหม่ ดังนั้น จึงต้องการความรู้ที่ทันสมัยและความรู้นั้นต้องพร้อมรับการตรวจสอบตลอดเวลา ถ้าเป็นความรู้เก่า ก็ต้องการการตรวจสอบว่ายังใช้ได้จริงหรือไม่ ถ้าเป็นความรู้ใหม่จากงานวิจัย ยิ่งต้องท้าทายว่า งานวิจัยนั้นลำเอียงหรือไม่ ควบคุมตัวแปรกวน (Confounder) ได้หรือเปล่า

ตัวอย่างความรู้เก่าที่มาถึงวันนี้ใช้ไม่ได้แล้ว Anthony Fauci รู้ซึ้งที่สุด

Anthony Fauci เป็นประธานที่ปรึกษาทางการแพทย์ของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโควิดที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดของสหรัฐอเมริกา เขาเคยกล่าวไว้อย่างหนักแน่นในวันที่ 8 มีนาคม 2563 ว่า "ไม่มีเหตุผลใดๆในการใส่หน้ากากระหว่างมีการระบาด....(หน้ากาก)ไม่ได้ป้องกันอย่างสมบูรณ์เหมือนที่ประชาชนคิด และบ่อยครั้งที่มีผลแทรกซ้อนตามมาโดยไม่ตั้งใจ เพราะประชาชนมักขยับหน้ากากและแตะต้องใบหน้าเป็นระยะๆ"

 

 

 

แต่ในวันที่ 3 เมษายน 2563 ศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐอเมริกากลับเปลี่ยนคำแนะนำใหม่ โดยให้ประชาชนใส่หน้ากากเมื่ออยู่ในที่สาธารณะเสมอ หลังจากพบผู้ป่วยโควิดในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นจาก 541 ราย (8 มีนาคม 2563) เป็น 291,748 ราย (3 เมษายน 2563)

แต่คลิปวิดีโอที่ Anthony Fauci พูดไว้เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2563 ยังถูกเผยแพร่อย่างต่อเนื่องโดยกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับการใส่หน้ากาก

ดังนั้น "สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง" จึงเป็นสุภาษิตที่ต้องจำให้ขึ้นใจ

ความรู้ใหม่จากงานวิจัยก็เช่นกัน ยิ่งต้องได้รับการตรวจสอบความถูกต้องว่า ไม่มีความเอนเอียงของระเบียบวิธีวิจัย

เมื่อกลางเดือนมีนาคม 2564 มีงานวิจัย 2 ชิ้นเผยแพร่ในวารสารทางการแพทย์ 2 ฉบับ คือ British Medical Journal (bmj) และ Nature และสรุปว่า ผู้ป่วยโควิดสายพันธ์ุอังกฤษ (B.1.1.7) มีอัตราตายมากกว่าสายพันธ์ุอื่นถึง 64% และ 61% ตามลำดับ ทำให้เกิดความตื่นตระหนกไปทั่วโลก สื่อระดับโลกต่างประโคมข่าวกันอย่างกว้างขวาง

แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีงานวิจัย 2 ชิ้นเผยแพร่ในวารสาร The Lancet Infectious Diseases และ The Lancet Public Health กลับสรุปว่า ผู้ป่วยโควิดสายพันธ์ุอังกฤษมีอัตราตายเท่ากับสายพันธุ์อื่น

งานวิจัยทั้ง 4 ชิ้นได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร 4 ฉบับซึ่งต่างมีชื่อเสียงระดับโลก และปกติงานวิจัยที่จะตีพิมพ์ได้ต้องถูกทบทวนโดยผู้เชี่ยวชาญอื่นก่อนตีพิมพ์ด้วย

แล้วทำไมงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือจึงให้ข้อสรุปแตกต่างกันมากขนาดนี้

เมื่อผมพิจารณารายละเอียดของงานวิจัยทั้ง 4 ชิ้น พบว่า เป็นการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างมากบ้างน้อยบ้าง เช่น 109,812 คน (bmj), 1,146,534 คน (Nature), 341 คน (The Lancet Infectious Diseases), 36,920 คน (The Lancet Public Health)

งานวิจัยใน bmj ใช้วิธีการจับคู่เหมือน (Matching) ซึ่งมีความเอนเอียงว่า ไม่สามารถเป็นกลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนผู้ป่วยทั้งหมดได้ เพราะสายพันธ์ุอังกฤษมีผู้ป่วยวัยหนุ่มสาว (มักไม่มีอาการหรืออาการน้อย) มากกว่าสายพันธ์ุอื่น และแน่นอนว่า ผู้ป่วยหนุ่มสาวเหล่านั้นไม่ถูกนำมาจับคู่ด้วย

ส่วนงานวิจัยใน Nature ผมพบว่าผู้ป่วยสายพันธ์ุอังกฤษในงานวิจัย มีกลุ่มตัวอย่างวัยหนุ่มสาว (1-34 ปี) ในจำนวนสัดส่วนที่เท่ากับกลุ่มตัวอย่างวัยทำงาน (35-54 ปี) และวัยกลางคน (55-69 ปี) ซึ่งผิดจากข้อมูลที่ว่า สายพันธุ์อังกฤษมีผู้ป่วยวัยหนุ่มสาวมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ (จากงานวิจัยของ Imperial College ซึ่งเป็นต้นเรื่องของข้อมูลที่สรุปว่า สายพันธ์ุอังกฤษระบาดเร็วขึ้น 1.7 เท่า)

ระยะเวลาที่เก็บข้อมูลของงานวิจัย 4 ชิ้นก็แตกต่างกัน ซึ่งมีผลต่ออัตราตาย เช่น bmj (1 ตุลาคม 2563-29 มกราคม 2564), Nature (1 พฤศจิกายน 2563-14 กุมภาพันธ์ 2564), The Lancet Infectious Diseases (9 พฤศจิกายน-20 ธันวาคม 2563 ) , The Lancet Public Health (28 กันยายน-27 ธันวาคม 2563 ) ถ้าเก็บข้อมูลในช่วงเวลาที่มีผู้ป่วยจำนวนมากจนเกินศักยภาพของระบบสาธารณสุข อัตราตายโดยรวมอาจสูงขึ้น ผู้ป่วยที่อาการหนักแต่ไม่ควรตายก็มีโอกาสตายมากขึ้น ความแตกต่างเกี่ยวกับความรุนแรงของสายพันธ์ุต่างๆถูกลดทอนความแตกต่างไปด้วยภาระงานที่หนักเกินกว่าขีดความสามารถของระบบสาธารณสุข

การระบาดระลอก 3 ของสหราชอาณาจักรเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2563 จนถึงปัจจุบัน วันที่มีผู้ป่วยใหม่สูงสุดคือ วันที่ 8 มกราคม 2564 มีจำนวนผู้ป่วยใหม่ 67,928 ราย และเมื่อนับจำนวนผู้ป่วยสะสมระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2563-14 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่งานวิจัยในวารสาร Nature เก็บข้อมูล มีผู้ป่วยสะสมเท่ากับ 2,997,656 ราย ตัวเลขผู้ป่วยสะสมมากขนาดนี้เป็นภาระต่อระบบสาธารณสุขอย่างหนักหน่วง และเป็นตัวกวน (Confounder) สำคัญของงานวิจัยนี้

นอกจากนั้น ถ้ามีการฉีดวัคซีนให้ประชาชนจำนวนมากในระยะเวลาที่เก็บข้อมูลย่อมมีผลทำให้ผู้รับวัคซีนไม่ป่วยหนัก อัตราตายอาจลดลงในทุกสายพันธ์ุ และเป็นตัวกวน (Confounder) ของงานวิจัยได้

สหราชอาณาจักรเริ่มฉีดวัคซีนตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2563 เมื่อดูตัวเลข ณ วันที่ 29 มกราคม 2564 พบว่าฉีดวัคซีนไปแล้ว 8,378,940 โดส (12.6% ของประชากร) ณ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ุ 2564 ฉีดวัคซีนไปแล้ว 15,300,151 โดส (23% ของประชากร) ซึ่งงานวิจัยของ bmj และ Nature เก็บข้อมูลในช่วงที่มีการระดมฉีดวัคซีนกันไปมากแล้ว

ตัวกวน (Confounder) ทั้งหลายที่เกิดขึ้นนี้ย่อมทำให้การแปลผลคลาดเคลื่อน และข้อสรุปไม่น่าเชื่อถือ

คำถามคือ ถ้ามีตัวกวน (Confounder) เช่นนี้ เราจะคำนวณหาอัตราตายของสายพันธุ์อังกฤษเปรียบเทียบกับสายพันธ์ุอื่นได้อย่างไร

ผมคิดว่า ถ้าการเก็บข้อมูลในงานวิจัยมีปัญหาตัวกวน (Confounder) เราอาจใช้หลักการประมาณ (Approximation) และการวิเคราะห์เชิงมิติ (Dimensional Analysis) ของ Enrico Fermi นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล ปี 2481 มาประยุกต์ใช้

(อ่านรายละเอียดวิธีคิดของ Fermi เพิ่มเติมได้ในคอมเมนท์)

ตามวิธีคิดของ Fermi ผมเห็นว่า เราต้องหาประเทศที่มีการระบาดของสายพันธ์ุอังกฤษอย่างชัดเจนในประเทศนั้นๆ และการระบาดยังไม่มากจนเป็นภาระหนักเกินศักยภาพของระบบสาธารณสุข รวมทั้งยังไม่มีการฉีดวัคซีน หรือเพิ่งเริ่มต้นฉีดวัคซีนเพียงเล็กน้อย เพื่อป้องกันตัวกวนจากผลของวัคซีน

แล้วประเทศอุดมคติสำหรับการวิจัยอย่างนั้น..มีอยู่จริงหรือ

ผมค้นพบ 2 ประเทศที่มีคุณสมบัติเช่นนี้คือ ประเทศไอร์แลนด์ และ ประเทศเดนมาร์ก

ทั้งสองประเทศมีลักษณะในอุดมคติร่วมกันคือ มีผู้ป่วยโควิดสะสมปานกลาง (ณ วันที่ 19 เมษายน ไอร์แลนด์มีผู้ป่วย 243,508 คน เดนมาร์กมีผู้ป่วย 242,633 คน) มีจำนวนประชากรใกล้เคียงกัน (ไอร์แลนด์ 4,981,612 คน, เดนมาร์ก 5,808,454 คน) เริ่มมีการระบาดของสายพันธ์อังกฤษอย่างชัดเจนในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 (ไอร์แลนด์ สัปดาห์ที่ 5-8 ปี 2564 สายพันธ์ุอังกฤษ = 88.6-90.8% ของผู้ป่วยโควิดทั้งหมด, เดนมาร์ก สัปดาห์ที่ 7-10 ปี 2564 สายพันธ์ุอังกฤษ = 65.9-92.7% ของผู้ป่วยโควิดทั้งหมด) ในเดือนธันวาคม 2563 ทั้งสองประเทศมีการระบาดของสายพันธ์ุอังกฤษเพียง 1.6-7.5% ในไอร์แลนด์ และ 0.4-1.9% ในเดนมาร์ก ส่วนการฉีดวัคซีนในทั้งสองประเทศเริ่มต้นกลางเดือนมกราคมและฉีดได้ช้ากว่าอังกฤษมาก ตอนกลางเดือนกุมภาพันธ์ ทั้งสองประเทศมีผู้ฉีดวัคซีนเพียง 4% ของประชากร และตอนปลายเดือนกุมภาพันธ์มีผู้ฉีดวัคซีนเพียง 7.4% ของประชากร

เมื่อคำนวณอัตราตายของ 2 ช่วงเวลา คือช่วงที่มีการระบาดของสายพันธ์ุอื่น กับช่วงที่มีการระบาดของสายพันธ์ุอังกฤษ โดยนับจำนวนผู้ป่วยสะสม 4 สัปดาห์ และจำนวนผู้เสียชีวิตสะสม 4 สัปดาห์ในแต่ละช่วง ทั้งนี้กำหนดให้ช่วงห่างของการนับข้อมูลผู้เสียชีวิตสะสมห่างจากวันเริ่มต้นนับข้อมูลผู้ป่วยสะสมเท่ากับ 28 วัน (ตามหลักเกณฑ์ที่ถือปฏิบัติในงานวิจัยโควิด) ปรากฎผลดังนี้

\"หมอเลี๊ยบ\"เตือนประชาชน ให้ความรู้โควิดสายพันธุ์อังกฤษอย่างละเอียด

ไอร์แลนด์

สายพันธ์ุอื่น

จำนวนผู้ป่วยสะสม 23 พฤศจิกายน- 20 ธันวาคม : 8,831 ราย

จำนวนผู้เสียชีวิตสะสม 20 ธันวาคม-16 มกราคม : 437 ราย

อัตราตาย : 4.95 %

สายพันธ์ุอังกฤษ

จำนวนผู้ป่วยสะสม 1 กุมภาพันธ์-28 กุมภาพันธ์ : 22,039 ราย

จำนวนผู้เสียชีวิตสะสม 28 กุมภาพันธ์-27 มีนาคม : 334 ราย

อัตราตาย : 1.51%

ดังนั้น ประเทศไอร์แลนด์มีอัตราตายของผู้ป่วยโควิดสายพันธ์ุอังกฤษน้อยกว่าสายพันธ์ุอื่น 3.28 เท่า

เดนมาร์ก

สายพันธ์ุอื่น

จำนวนผู้ป่วยสะสม 30 พฤศจิกายน-27 ธันวาคม : 72,866 ราย

จำนวนผู้เสียชีวิตสะสม 27 ธันวาคม-23 มกราคม : 795 ราย

อัตราตาย : 1.09%

สายพันธ์อังกฤษ

จำนวนผู้ป่วยสะสม 15 กุมภาพันธ์-14 มีนาคม : 15,660 ราย

จำนวนผู้เสียชีวิตสะสม 14 มีนาคม-10 เมษายน : 48 ราย

อัตราตาย : 0.3%

ดังนั้น ประเทศเดนมาร์กมีอัตราตายของผู้ป่วยโควิดสายพันธ์ุอังกฤษน้อยกว่าสายพันธ์ุอื่น 3.63 เท่า

จากข้อมูลของ 2 ประเทศ ในชั้นนี้ ผมจึงขอสรุปว่า สายพันธ์ุอังกฤษระบาดง่ายขึ้น แต่อัตราตายน้อยลง 3.4 เท่า จนกว่าจะมีข้อมูลใหม่จากงานวิจัยที่มีระเบียบวิธีวิจัยสมบูรณ์ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ แล้วให้ผลสรุปเป็นอย่างอื่น

ที่น่าชวนคิดต่อไปคือ ทำไมอัตราตายของผู้ป่วยโควิดในไอร์แลนด์จึงสูงกว่าอัตราตายของผู้ป่วยโควิดในเดนมาร์กเกือบ 5 เท่า

ผมมีสมมุติฐานว่า การมีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากจนเป็นภาระของระบบสาธารณสุขเป็นต้นเหตุของอัตราตายที่สูงขึ้น

การระบาดระลอก 3 ของไอร์แลนด์ มีผู้ป่วยเพิ่มสูงสุดในวันที่ 8 มกราคม 2564 ถึง 8,227 ราย และใช้เวลาเพียง 62 วันในการเพิ่มผู้ป่วยสะสมในระลอกใหม่ 132,000 คน

ในขณะที่การระบาดระลอก 3 ของเดนมาร์ก มีผู้ป่วยเพิ่มสูงสุดในวันที่ 18 ธันวาคม 2563 จำนวน 4,508 ราย และใช้เวลา 84 วันกว่าจะเพิ่มผู้ป่วยสะสมในระลอกใหม่ 132,000 คน

โทษของการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยจนอาจเกินกำลังของระบบสาธารณสุขเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้รับผิดชอบของประเทศไทยต้องคอยเฝ้าระวังการระบาดของโควิดอย่างใกล้ชิด และพร้อมปรับใช้มาตรการอย่างยืดหยุ่น (Resilience) และฉับไว (Agile) รวมทั้งต้องให้เกิดความสมดุลของการรับมือทั้งปัญหาโควิดและปัญหาเศรษฐกิจ

แน่นอนว่า มาตรการส่วนบุคคล "ใส่หน้ากาก ล้างมือ รักษาระยะห่าง"ยังเป็นมาตรการสำคัญที่สุดในการควบคุมการระบาดของโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรายังไม่ได้ฉีดวัคซีนจนถึงจุดที่มีภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity)

#ตื่นตัวไม่ตื่นกลัว

 

ข่าวล่าสุด

heading-ข่าวล่าสุด

ข่าวเด่น

PR สาวคนดังถูกพบเป็นศพ หลังอดีตแฟนหนุ่มพยายามง้อขอคืนดี

PR สาวคนดังถูกพบเป็นศพ หลังอดีตแฟนหนุ่มพยายามง้อขอคืนดี

จ๊ะ นงผณี ตอบชัดเจน รักและภูมิใจในแผ่นดินไทยมากแค่ไหน

จ๊ะ นงผณี ตอบชัดเจน รักและภูมิใจในแผ่นดินไทยมากแค่ไหน

สาววัย 20 เสียชีวิต ตามตัวสัมผัสเจอของแปลกๆ ก่อนตำรวจตัดสินใจค้น

สาววัย 20 เสียชีวิต ตามตัวสัมผัสเจอของแปลกๆ ก่อนตำรวจตัดสินใจค้น

หนุ่มมีลูกยาก ขอให้เพื่อนช่วยทำลูกกับเมีย แบบไม่ใช่แค่บริจาคอสุจิ

หนุ่มมีลูกยาก ขอให้เพื่อนช่วยทำลูกกับเมีย แบบไม่ใช่แค่บริจาคอสุจิ

รถกับข้าวบอยเจี๊ยบ จากน้ำใจเล็ก ๆ สู่รอยยิ้มที่ใหญ่เกินคาด

รถกับข้าวบอยเจี๊ยบ จากน้ำใจเล็ก ๆ สู่รอยยิ้มที่ใหญ่เกินคาด