หมอธีระ เตือนโควิดพิษแรง สถานการณ์ปัจจุบันแค่น้ำจิ้ม ของจริงหนักกว่านี้แน่นอน

06 เมษายน 2564

หมอธีระ เผยยอดผู้ติดเชื้อล่าสุดอยู่ที่ 132,366,472 คน ยอดเสียชีวิตรวม 2,872,146 คน เตือน!! สถานการณ์ปัจจุบัน เป็นเพียงน้ำจิ้มโหมโรงเท่านั้น เพราะของจริงจะหนักกว่านี้

รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat รายงาน ยอดผู้ติดเชื้อวันนี้ โดยระบุว่า สถานการณ์ทั่วโลก 6 เมษายน 2564…  ทะลุ 132 ล้านไปอย่างรวดเร็ว ส่วนบราซิลติดเชื้อเกิน 13 ล้านแล้ว อินเดียวันก่อนเกินแสน วันนี้เฉียดแสน เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 472,065 คน รวมแล้วตอนนี้ 132,366,472 คน ตายเพิ่มอีก 6,663 คน ยอดตายรวม  2,872,146 คน

อเมริกา เมื่อวานติดเชิ้อเพิ่ม 44,927 คน รวม 31,482,341 คน ตายเพิ่ม 372 คน ยอดเสียชีวิตรวม 569,150 คน อัตราตาย 1.8% บราซิล ติดเพิ่ม 28,645 คน รวม 13,013,601 คน ตายเพิ่มถึง 1,222 คน จำนวนเสียชีวิตต่อวันมากที่สุดในโลก ยอดเสียชีวิตรวม 332,752 คน อัตราตาย 2.6%

 
 

อินเดีย ติดเพิ่ม 96,557 คน รวม 12,684,477 คน ตายเพิ่ม 445 คน ยอดเสียชีวิตรวม 165,577 คน อัตราตาย 1.3%
ฝรั่งเศส ติดเพิ่ม 10,793 คน ยอดรวม 4,833,263 คน ตายเพิ่ม 197 คน ยอดเสียชีวิตรวม 96,875 คน อัตราตาย 2%
รัสเซีย ติดเพิ่ม 8,646 คน รวม 4,589,540 คน ตายเพิ่ม 343 คน ยอดเสียชีวิตรวม 100,717 คน อัตราตาย 2.2%
อันดับ 6-10 เป็น สหราชอาณาจักร อิตาลี ตุรกี สเปน และเยอรมัน ส่วนใหญ่ติดกันหลักพันถึงหลายหมื่นต่อวัน
ตุรกีติดเชื้อเกินสี่หมื่นต่อวันอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้จำนวนติดเพิ่มต่อวันเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากอินเดีย และอเมริกา แถบอเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย อย่างโคลอมเบีย เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ ยูเครน แคนาดา รวมถึงบังคลาเทศ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ยังติดกันเพิ่มหลักพันถึงหลักหมื่น
แถบสแกนดิเนเวีย บอลติก และยูเรเชีย ก็มีการติดเชื้อเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่หลักร้อยถึงพันกว่า
แถบตะวันออกกลาง ประเทศส่วนใหญ่ยังติดเพิ่มหลักพันถึงหลักหมื่นอย่างต่อเนื่อง
เกาหลีใต้ และไทย ติดเพิ่มหลักร้อย ส่วนจีน ฮ่องกง เมียนมาร์ สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และกัมพูชา ติดเพิ่มหลักสิบ ในขณะที่เวียดนามติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ …วาทกรรม “ไม่ให้ทำอะไรที่กระทบต่อส่วนรวมโดยไม่จำเป็น” …นั้นจำเป็นต้องแปลความให้ดี

หากหน้ามืดตามัวปั่นนโยบายหาเงินแลกความเสี่ยง ก็มักแปลความว่า ฉันจะต้องทำทุกอย่างที่จะไม่ใช้มาตรการควบคุมอย่างเคร่งครัด ผลลัพธ์ก็จะออกมาในแบบระบาดอย่างหนักหน่วงแต่วาทกรรมข้างต้น หากคิดให้รอบคอบ จะแปลความได้อีกอย่างคือ ถ้ามันระบาดกันระเบิดระเบ้อ กระจายไปทั่ว ก็ควรเลิกทำเลิกเข็นนโยบายหาความเสี่ยงเข้าประเทศ… เลิกหลอกตัวเองว่าคุมได้ เอาอยู่… เลิกมาตรการสนับสนุนให้ประกอบกิจการที่เสี่ยง นิวนอร์มัลแบบหลอก ๆ… และรู้ก็รู้ เห็นกันอยู่โต้ง ๆ ว่า หยุดยาว คนจะเดินทางกันมากมาย และจะจัดงานประเพณีกันอีก การอ้อมแอ้มออกมาตรการหน่อมแน้ม ให้ทำกันต่อไปนั้นมันสมควรหรือไม่ …เพราะที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น มันคือสิ่งที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อส่วนรวมชัดเจน วิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน บอกได้ว่าเป็นเพียงน้ำจิ้มโหมโรง เพราะของจริงจะหนักกว่านี้ หากไม่สามารถจัดการปัญหาได้

สิ่งที่เราควรทำคือ หนึ่ง “ยอมรับความจริง” ว่า ตัดวงจรระบาดไม่ได้ ระบาดกระจายไปทั่ว คุมไม่อยู่ ป้องกันไม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ศักยภาพเชิงระบบนั้นจำกัด และนโยบายที่เข็นอยู่นั้นเปิดประตูความเสี่ยงทั้งภายในประเทศและจากต่างประเทศ

สอง “ทบทวนนโยบาย หยุดหรือชะลอนโยบายที่ทำให้เกิดความเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศ” ยอมกลืนน้ำลายเพื่อรักษาสวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิตของทุกคนในประเทศ เพราะการระบาดขณะนี้วิกฤติมาก

สาม “ปฏิรูประบบและรูปแบบการดำเนินกิจการธุรกิจเสี่ยง” เพราะที่ผ่านมากฎระเบียบมีไว้ประดับ บังคับใช้ไม่ได้จริง เราจึงเห็นว่าพอผ่อนคลายให้เปิดกิจการ คนแออัด แชร์แก้วแชร์บุหรี่ สัมผัสใกล้ชิด การระบายอากาศไม่ดีก็ยังเป็นเช่นเดิมไม่มากก็น้อย จนนำมาสู่การระบาดหนัก หากปรับรูปแบบดำเนินการไม่ได้ ก็จะระบาดกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปเรื่อย ๆ ยากที่จะลืมตาอ้าปาก หน้าที่ควรเป็นของทุกคน ทั้งเจ้าของกิจการ และลูกจ้างที่ควรตระหนักถึงความปลอดภัยของตนเองและสังคม ถ้าอยากทำงานหากินได้ยาว ๆ ก็ต้องทำให้ได้ครับ

รูปแบบกิจการบันเทิงต่าง ๆ นั้น เสี่ยงทั้งความใกล้ชิด ความแออัด มึนเมาขาดสติในการป้องกันตัว ด้วยการระบาดของโรคนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะทำรูปแบบเดิม หรือแม้แต่นิวนอร์มัลแบบหน่อมแน้ม กิจการจำเป็นต้องลดจำนวนคน ปรับสถานที่อย่างมาก และสังคายนารูปแบบบริการ จึงจะสามารถประคับประคองตัวให้อยู่รอดปลอดภัยได้ สังคมปัจจุบันทุกคนล้วนได้รับผลกระทบจากโรคระบาด ก็ต้องปรับตัวกัน

สี่ “เลิกเล่นวาทกรรม” ไม่ว่าจะเป็นระลอกใหม่ ระลอกใหม่กว่า ระลอกใหม่ที่สุด ระลอกสองของรอบใหม่ หรืออะไรก็แล้วแต่ ดูกันตามจริง นับกันเป็นคลื่น ปีก่อนเจอคลื่นแรกตอนต้นปี คลื่นสองตอนปลายปีจนถึงปีนี้ และกำลังจะเจอคลื่นที่สาม ซึ่งก็ล้วนบ่งถึงการระบาดที่กลับมา และต้องรีบหาสาเหตุ และจัดการแก้ไข… ชีวิตคนเราก็แค่นั้น ถ้ามองความจริง ใช้ความรู้ที่ถูกต้อง ก็จะหาทางแก้ไขได้ สำคัญคือต้องโปร่งใส จริงใจ ไร้ผลประโยชน์ซ่อนเร้น

ห้า “เพิ่มศักยภาพของระบบการตรวจคัดกรองโรค” ให้ครอบคลุมทุกที่ ราคาถูก และมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การเข้าถึงบริการ การรายงานผลตรวจ และการนำเข้าสู่ระบบการดูแลรักษาและการติดตามเครือข่ายที่สัมผัสและสำคัญที่สุดคือ จัดหาวัคซีนที่มีสรรพคุณสูง เข้ามาเสริมเป็นทางเลือกให้แก่ประชาชนในประเทศ

ด้วยรักและปรารถนาดี