ปลาบู่ทอง กับ ความเชื่อกลับชาติมาเกิด

16 พฤษภาคม 2567

วันนี้รายการปาฏิหาริย์ ช่วง เจนจิราหามาเล่า จะพาทุกคนย้อนกลับไปฟังเรื่องราวของตำนานพื้นบ้าน เรื่องปลาบู่ทอง กับ ความเชื่อกลับชาติมาเกิด ที่แฝงไปด้วยข้อคิดและคติสอนใจ ที่เด็กๆ สมัยนี้น้อยคนจะรู้จัก เอื้อยกับอ้าย

ปลาบู่ทอง กับ ความเชื่อกลับชาติมาเกิด 

 

นานมาแล้ว มีชายหาปลาคนหนึ่งชื่อว่า ทารก (อ่านว่า ทาระกะ) มีภรรยาสองคน ได้แก่ ขนิษฐา คนที่สองชื่อว่า ขนิษฐี นางขนิษฐามีลูกสาวคนเดียวชื่อว่า เอื้อย ในขณะที่นางขนิษฐีมีลูกสาวสองคนชื่อ อ้าย กับ อี่

 

แต่ ทารก ชายหาปลาไม่ชอบรักกับนางขนิษฐา รวมถึงลูกสาวอย่างเอื้อย จึงมักจะดุด่าและบังคับให้ทำงานหนักทุกวัน ในขณะที่นางขนิษฐี ผู้เป็นภรรยาน้อยกับลูกสาวสองคนใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายเพราะไม่ต้องทำงานหนัก

 

อย่างไรก็ตามทั้งนางขนิษฐีและลูก ๆ ยังเกลียดนางขนิษฐาและเอื้อยอีก ซ้ำยังอิจฉาริษยา และหาทางกลั่นแกล้งสองแม่ลูกอยู่ตลอดเวลา ในทุก ๆ เช้า ชายหาปลาจะออกไปทอดแหหาปลาในแม่น้ำ และจะมีภรรยาสองคนผลัดกันเป็นคนพายเรือ ให้คนละวันหลังจากได้ปลามากพอในแต่ละวันแล้วก็จะนำไปขายที่ตลาดก่อนกลับบ้าน

 

อยู่มาวันหนึ่ง นางขนิษฐาทำหน้าที่เป็นคนพายเรือให้สามีในขณะหาปลา แต่ว่าไม่ได้ปลาสักตัวเดียวนอกจาก ปลาบู่ทอง ตัวหนึ่งเท่านั้น ตลอดทั้งวัน ชายหาปลาทอดแหแล้วทอดอีกก็ได้แต่ปลาบู่ทองตัวเดิมมาทุกทีเขาปล่อยมันลงไปในน้ำแต่ไม่นานมันก็ติดแหขึ้นมาอีก

ปลาบู่ทอง กับ ความเชื่อกลับชาติมาเกิด

ทารกโมโหมาก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี และทุกครั้งที่เขา ได้ปลาบู่ขึ้นมาภรรยาของเขาก็จะขอเขาไว้เพื่อเก็บไว้ให้ลูกของตนเลี้ยงเล่นแต่เขาจะโยนมันทิ้งไปโดยไม่แยแส คำขอร้องของภรรยาตนแต่ในที่สุดก็เกิดบันดาลโทสะอย่างแรงจนถึงขั้นตบตีนางและผลักนางลงน้ำไป ภรรยาของเขาจึงจมน้ำตาย

 

ชายหาปลาจึงกลับบ้านเพียงลำพัง และพบเอื้อยกำลังรอแม่ของตนกลับมาอยู่ และเมื่อลูกสาวถามหาแม่เขาก็ปฏิเสธที่จะพูดอะไรออกไปเมื่อลูกสาวคะยั้นคะยออยู่ตลอดเวลา เขาจึงบอกว่าแม่ของนางไปอยู่ใต้น้ำและจะกลับมาในอีก 3 วัน และบอกให้ลูกสาวหยุดร้องไห้มิฉะนั้นแล้วแม่ของนางจะไม่กลับมาอีกเลย

 

ดังนั้นนางจึงร้องไห้โฮออกมา ฝ่ายชายหาปลาเกรงว่าข่าวการหายไปของภรรยาตนจะแพร่หลาย จึงบังคับให้ลูกสาวหยุดร้องไห้ในทันทีและเริ่มทุบตีนาง เพื่อนบ้านเข้ามาขัดขวางและถามถึงภรรยาหลวงของเขา ชายหาปลาก็พูดโกหกไปว่าหนีตามชู้ไปแต่ก็ไม่มีใครเชื่อคำพูดของเขา เพราะทุกคนรู้ว่าชายหาปลาผู้นี้เกลียดภรรยาหลวง

 

ตำนานปลาบู่ทอง กับ ความเชื่อกลับชาติมาเกิด เจนจิราหามาเล่า

รุ่งเช้าพ่อกับแม่เลี้ยงบอกให้นางเอื้อยทำงานบ้าน แต่นางยังเจ็บแผลที่ถูกเฆี่ยนตีอยู่จึงขอหยุดพักแต่ทั้งคู่ ไม่ยอมฟังนาง ตรงกันข้ามกับลูกสาวทั้งสองคนของแม่เลี้ยง ที่ไม่ต้องทำอะไรเลย พวกเขาเพียงแต่กินและเล่นเท่านั้นเอง

 

หลังจากจมน้ำตาย นางขนิษฐาก็ไปเกิดเป็นปลาบู่ทอง ว่ายน้ำมาที่ท่าน้ำหน้าบ้านและรอเอื้อยด้วยความรัก ปลาบู่ทองเล่าเรื่องทั้งหมดให้เอื้อยฟัง นางสงสารผู้เป็นแม่มาก นางจะนำอาหารมาให้ปลาผู้เป็นมารดาและพูดคุยกันเพื่อจะได้ลืมความทุกข์โศกทั้งปวง แต่ไม่นานนัก อ้าย ก็รู้เรื่องเข้าจึงไปบอกให้แม่ตนเองทราบ

 

และแล้วผู้เป็นแม่ก็วางแผนจัดการปลาบู่ทองเสีย…ในขณะที่เอื้อยได้รับคำสั่งให้ไปเลี้ยงวัวในทุ่งนา ปลาบู่ทองก็ถูกล่อไปฆ่ากินเป็นอาหาร ผู้เป็นแม่เลี้ยง ให้หมาและแมวกินก้างปลาบู่ทองหมดและโยนเกล็ดทิ้งไป ด้วยความสงสารเอื้อยจึงไปถามหมาและแมวซึ่งทั้งสองก็ปฏิเสธที่จะบอกความจริง เป็ดเข้ามาปลอบเอื้อยและมอบเกล็ดปลาบู่ทองให้นาง เอื้อยเสียใจมากที่ได้รู้เรื่อง ดั้งนั้นนางจึงฝังเกล็ดปลาบู่ทองไว้ในป่า และตั้งอธิษฐานขอให้แม่มาเกิดเป็นต้นมะเขือเปราะ

 

ด้วยพรของเทวดา ก็เกิด ต้นมะเขือเปราะ งอกงามขึ้น นับแต่นั้นมาเอื้อยก็มีความสุข ได้มากราบไหว้และพูดคุยกับต้นมะเขือเปราะทุกวัน แต่โชคร้าย อ้าย ก็แอบมาเห็นอีก จึงไปบอกแม่ของตน ผู้เป็นแม่จึงสั่งให้นางถอนต้นมะเขือเปราะทิ้ง แล้วนำผลมาทานทันที

 

หลังจากกินแล้วก็โยนเม็ดมะเขือเปราะทิ้งไป เป็ดก็เก็บเม็ดมะเขือไว้ให้เอื้อยอีก เอื้อยเสียใจอย่างมากนางจึงนำเม็ดมะเขือไปปลูกไว้ในป่าแล้วอธิฐาน ขอให้แม่เกิดเป็น ต้นโพธิ์ เพื่อที่นางจะได้ กราบไหว้บูชา และด้วยพรของเทวดาต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองก็งอกงามขึ้นในบัดดล

 

ต่อมาพระเจ้าพรหมทัต เสด็จมาทรงเห็นต้นโพธิ์ก็ทรงอยากได้ไปปลูกในวังจึงให้ถามหาเจ้าของ และเมื่อได้รับการกราบทูลให้ทรงทราบพระองค์ก็ทรงประสงค์ที่จะพบเอื้อย และเอื้อยก็ได้กราบทูลเรื่องราวทั้งหมดให้ทรงทราบ ด้วยความสงสารในตัวนาง พระองค์จึงตัดสินพระทัยที่จะอภิเษกสมรสกับเอื้อยและตั้งให้เป็นพระราชีนี

 

พระเจ้าพรหมทัตทรงถอนต้นโพธิ์ไม่ขึ้นแม้จะมีไพร่พลช่วยก็ตาม จึงทรงรับสั่งให้เอื้อยถอนมาให้พระองค์ และเมื่อเอื้อยขออนุญาตมารดาของตนก็สามารถถอนต้นโพธิ์ขึ้นได้โดยง่าย พระเจ้าพรหมทัตทรงแปลกพระทัย และทรงดำริว่าเอื้อยมีบุญบารมีสมเป็นพระชาชินี จึงพาไปอยู่ในวังและทรงตั้งให้เป็นพระราชินี

 

ในขณะเดียวกัน แม่เลี้ยงและลูกสาวทั้งสองของนางก็เกิดความอิจฉาริษยา จึงไปหายายเฒ่าผู้หนึ่งซึ่งก็ออกอุบายให้ส่งข่าวไปบอก ราชินีเอื้อย ว่าบิดาของนางเจ็บหนักใกล้จะตายแล้ว ทันทีที่ได้รับข่าวราชินีเอื้อยผู้กตัญญูก็รีบกลับมาเยี่ยมบิดาที่บ้าน แต่ก่อนที่จะเข้าบ้าน ผู้เป็นแม่เลี้ยงบอกให้นางถอดเครื่องทรงราชินีออกแล้วให้ไปอาบน้ำก่อนจึงค่อยไปพบบิดา


ในขณะเดินเข้าไปในห้องด้านใน พระราชินีผู้น่าสงสารก็ตกลงไปในกระทะน้ำเดือดที่นางแม่เลี้ยงซ่อนไว้เบื้องล่าง ส่งผลให้พระราชินีสิ้นพระชนม์ จากนั้นอ้ายก็รีบแต่งเครื่องทรงพระราชินี และกลับวังโดยปลอมเป็นเอื้อย นางเข้าไปพบพระราชาผู้ซึ่งแสดงอาการไม่ค่อยจะเชื่อว่าเป็นเอื้อย แต่อ้ายก็ใช้คาถาที่ยายเฒ่าให้มาเสกให้พระราชาอยู่ใต้อำนาจของตน แต่พระราชาก็ยังคงสงสัยอยู่ดีว่าทำไมต้นโพธิ์ จึงดูเหี่ยวเฉาไม่มีชีวิตชีวา

 

หลังจากถูกฆาตกรรมแล้วราชินีเอื้อยก็ไปเกิดเป็น นกแขกเต้า ด้วยความรักและห่วงใยในพระราชา จึงบินมาหาพระองค์และกราบทูลให้พระองค์ทราบเรื่องราวทั้งหมด หลังจากสัตว์ผู้น่าสงสารกราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ พระองค์ก็ทรงเลี้ยงดูนกแขกเต้าไว้ในกรงทอง และทรงพูดคุยด้วยเสมอ

 

วันหนึ่งราชินีปลอมอ้าย ก็แอบมารู้จนได้ ดังนั้นในขณะที่พระราชาเสด็จออกป่าเพื่อคล้องช้างเผือกมาสู่บารมี ราชินีปลอมก็จับนกแขกเต้าผู้น่าสงสารถอนขนจนหมดแล้วส่งไปให้แม่ครัวแกง นกแขกเต้าแกล้งทำเป็นนอนตาย แม่ครัวเลยไม่สนใจปล่อยมันไว้ในครัวรอเวลาที่จะทำแกงนกถวายพระราชินีในตอนเย็น

 

เจ้านกแขกเต้าผู้ปราศจากขนและทุกข์ทรมาน จึงสบโอกาสหนีเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในโพรงหนู เมื่อหานกที่นอนตายอยู่ไม่พบและกลัวจะมีความผิด แม่ครัวจึงไปหาซื้อนกอื่นมาแกงถวายพระราชินีแทน ฝ่ายแม่ครัวได้รับรางวัลตอบแทนเป็นผ้าสะไบ เจ้านกแขกเต้าผู้น่าสงสารอาศัยอยู่ในโพรงหนู

 

จนกระทั่งขนขึ้นเต็มตัวก็บอกลาหนู ซึ่งก็อาสาพาไปส่งถึงชายป่า ในขณะท่องเที่ยวไปในป่าอยู่ตามลำพังก็เกือบจะถูกงูกินไปแล้ว โชคดีที่นกใหญ่มาจับงูกินเสียก่อน

 

และแล้วนกแขกเต้าก็มาพบพระฤๅษีผู้ซึ่งเกิดความสงสารก็เลยช่วยชุบนกแขกเต้าให้กลายเป็นหญิงสาวสวย พระฤๅษีก็เลี้ยงดูเอื้อยอย่างลูกสาว แต่ก็สังเกตเห็นว่าลูกบุญธรรมของตนดูจะเหงาหงอยอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นท่านจึงวาดรูปขึ้นหลาย ๆ รูปแล้วให้เอื้อยเลือกเอารูปเดียว

 

หลังจากเลือกแล้วท่านก็จะเสกให้เป็นคน เอื้อยได้เลือกเอารูปเด็กชายมอบให้ฤๅษี ฤๅษีใช้คาถาเสกให้เป็นคนเพื่อที่นางจะได้เลี้ยงดูเป็นบุตรชาย ท่านฤๅษีจึงตั้งชื่อเด็กชายนั้นว่า ลพ

 

ผ่านไปหลายปี เจ้าลพเกิดความสงสัยว่าพ่อเป็นใคร เอื้อยจึงเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง ทำให้ลพร้องขอที่จะเข้าไปในวังเพื่อกราบทูลพระเจ้าพรหมทัตให้ทรงทราบความจริง เอื้อยได้ร้อยพวงมาลัยฝากไปถวายพระเจ้าพรหมทัต ลพเดินทางมาถึงพระราชวัง ก็พยายามหาทางจนได้โอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าพรหมทัตและถวายพวงมาลัย

 

พระเจ้าพรหมทัตเห็นฝีมือร้อยมาลัยก็จดจำได้ว่าเป็นฝีมือของเอื้อย ลพจึงกราบทูลเรื่องราวของเอื้อยถวาย พระเจ้าพรหมทัตดีพระทัยที่เอื้อยยังมีชีวิตอยู่ จึงเสด็จไปรับเอื้อยกลับคืนสู่พระราชวัง

 

เมื่ออ้ายทราบว่าเอื้อยได้กลับมาที่พระราชวังแล้วอ้ายกลัวความผิดจึงชิงดื่มยาพิษฆ่าตัวตายไปก่อน ส่วนขนิษฐีและอี่ ก็ถูกพระเจ้าพรหมทัตลงโทษ ด้วยการขับออกนอกวังกลับบ้านไปและให้ถือศีลบำเพ็ญความดีตลอดชีวิต เอื้อยและต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองก็มีชีวิตที่สงบสุข นับจากนั้นเป็นต้นมา

 

ขอบคุณข้อมูล ศูนย์รวมนิทานพื้นบ้าน