เปิด 7 วัตถุโบราณ กับ เรื่องราวพลังศักดิ์สิทธิ์

08 มีนาคม 2567

หลายคนเคยสงสัยไหมว่า วัตถุโบราณ ไอเท็มยอดฮิตเมื่อหลายพันปี จะมีพลังวิเศษจริงหรือไม่ วันนี้รายการปาฏิหาริย์ ช่วงเจนจิราหามาเล่า จะพาไปเปิด 7 วัตถุโบราณ กับ เรื่องราวพลังศักดิ์สิทธิ์ ที่ปัจจุบันก็ยังหาคำตอบไม่ได้

เปิด 7 วัตถุโบราณ กับ เรื่องราวพลังศักดิ์สิทธิ์

 

1. หอก ลองกินุส อาวุธโบราณนี้ เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยได้ยินชื่อเสียงกันมาบ้างแล้ว หอกนี้ยังมีอีกหลายชื่อ เช่น หอกแห่งโชคชะตา หรือ หอกศักดิ์สิทธิ์ หรือ หอกแห่งพระคริสต์ หอกเล่มนี้เองที่ถูกใช้แทงสีข้างของพระเยซูเพื่อพิสูจน์ว่าสิ้นพระชมน์แล้วหรือยัง ในพระวรสารฉบับนักบุญนิเคอดามุสบันทึกไว้ว่า เมื่อพระเยซูถูกตรึงกางเขน มีนายทหารโรมันชื่อ กาลิอัส คาสเซียส ลองกินุส ซึ่งมีอาการตาใกล้บอดและได้รับหน้าที่ตรึงกางเขนพระเยซู เพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์สิ้นพระชนม์จริงหรือไม่ เมื่อเลือดของพระองค์กระเซ็นมาโดนตัวลองกินุส ทำให้ตาที่มืดมัวกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง ลองกินนุสจึงเกิดความศรัทธาและเข้าเป็นนักบวชในคริสต์ศาสนา ต่อมาได้รับการยกย่องให้เป็น นักบุญลองกินุส ส่วนหอกได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหอกศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่นั้นมา ปัจจุบันหอกเล่มนี้ได้ถูกจัดเก็บไว้ที่ พระราชวังฮอฟบวร์ก และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้

หอก ลองกินุส เปิด 7 วัตถุโบราณ กับ เรื่องราวพลังศักดิ์สิทธิ์

2. กริชวัชระ อาวุธโบราณนี้ เป็นอาวุธปราบมารในตำนานของท่าน กูรูรินโปเช ที่ชาวทิเบต ยกให้เป็นพระเจ้าองค์ที่สอง เพราะว่าท่านเป็นคนนำศาสนาพุทธมาเผยแพร่ใน ภูฏาณ ได้สำเร็จ ส่วน ตำนานของทักซังมีอยู่ว่า ท่านกูรูรินโปเช ผู้สร้างที่นี่ ได้ขี่นางเสือที่เป็นศักติของท่านแปลงกายมา เหาะมายังที่แห่งนี้ และบำเพ็ญสมาธิอยู่ในถ้ำเสือนาน 3 เดือน เทศนาสั่งสอนผู้คน และสำแดงกายสะกดภูติผีปีศาจร้ายที่ออกอาละวาดอยู่ในแถบนี้ ซึ่งอาวุธที่ท่านใช้ในการปราบมารในครั้งนั้นก็คือ กริชวัชระ ที่ท่านใช้เวลา 3 เดือนนั้นสวดมนต์เพื่อปลุกเสกกริชวัชระนี้ ซึ่งปัจจุบันยังถูกเก็บรักษาไว้ภายในถ้ำนั้นดังเดิม โดยจะมีการเปิดให้ผู้มีจิตศรัทธาได้ชมปีละ 1 ครั้งเท่านั้น

 

กริชวัชระ เปิด 7 วัตถุโบราณ กับ เรื่องราวพลังศักดิ์สิทธิ์

 

3. มีดสั้นของฟาโรห์ตุตันคาเมน อาวุธโบราณนี้ เป็นของฟาโรห์ลำดับที่ 18 ของราชวงศ์อียิปต์ยุคอาณาจักรใหม่ ที่นักวิจัยยืนยันแล้วว่าทำมาจากหินอุกกาบาตจากนอกโลก อายุกว่า 3,300 ปี เรื่องคือ ชาวอียิปต์ในยุคนั้นยังไม่รู้จักการถลุงเหล็กมาก่อนด้วยซ้ำ จะนับประสาอะไรกับเหล็กจากท้องฟ้าแบบนี้ ที่องค์ประกอบของมันมีทั้งธาตุเหล็ก, โคบอลต์, นิกเกิล ซึ่งเป็นธาตุที่พบได้ในอุกกาบาตโลหะเพียงอย่างเดียว กริชเล่มนี้เป็นกริช 1 ใน 2 เล่มที่พบในโลงศพของฟาโรห์ตุตันคามุน อีกเล่มหนึ่งนั้นทำจากทองคำทั้งแท่ง นั่นจึงทำให้กริชทั้ง 2 เล่มนี้ไม่เกิดสนิมเลยแม้แต่นิดเดียว ปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ไคโรแห่งอียิปต์

 

มีดสั้นของฟาโรห์ตุตันคาเมน เปิด 7 วัตถุโบราณ กับ เรื่องราวพลังศักดิ์สิทธิ์

4. คัมภีร์ไบเบิลปีศาจ อาวุธโบราณนี้ นอกจากขนาดที่ใหญ่โตโบราณแล้วยังเชื่อกันอีกว่า คัมภีร์ของทางฝั่งซาตานที่เชื่อกันว่าถูกเขียนขึ้นโดยนักบวชนอกรีต เรื่องราวข้างในก็มีทั้งคาถาอาคม พิธีกรรม และการยกย่องเชิดชูซาตาน (ว่ากันว่าซาตานมาช่วยเขียนเลยด้วย) เขียนด้วยหลากหลายภาษาผสมกันไป เช่น ละติน ฮิบรู กรีก สลาวิก ทั้งหมดนี้เขียนอยู่ในหนังสือเล่มใหญ่ยักษ์กว่า 300 หน้า บันทึกลงบนหนังสัตว์แทนที่จะใช้กระดาษ มีความสูง 92 เซนติเมตร กว้าง 50 เซนติเมตร หนา 22 เซนติเมตร และหนักถึง 75 กิโลกรัม นั่นจึงทำให้คัมภีร์เล่มนี้กลายเป็นหนังสือที่เขียนด้วยลายมือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ในไบเบิลเล่มนี้ยังปรากฎร่องรอยของการฉีกออกไปจำนวน 8 หน้าด้วยกันปัจจุบันจึงไม่มีใครล่วงรู้ว่าเนื้อหาส่วนที่ขาดหายไปนั้นเพื่อปกปิดเรื่องใดกันแน่ ปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ กรุงสตอกโฮมส์ ประเทศสวีเดน

 

คัมภีร์ไบเบิลปีศาจ เปิด 7 วัตถุโบราณ กับ เรื่องราวพลังศักดิ์สิทธิ์

5. ดาบฮอนโจ มาซามุเนะ อาวุธโบราณนี้ ได้รับการยกย่องให้ โอกาซากิ มาซามุเนะนั้น เป็นช่างตีดาบมือหนึ่งของญี่ปุ่น มีชีวิตอยู่ในช่วงค.ศ. 1288-1328 ดาบทุกๆ เล่มที่ตีโดยเขานั้นขึ้นชื่อที่สุดทั้งเรื่องของความงาม และคุณภาพ โดยเล่มที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ดาบฮอนโจ มาซามุเนะ ที่ถูกใช้โดยโชกุนในยุคเอโดะ และสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น โดยเจ้าของคนสุดท้ายคือ โทคุคาว่า อิเอมาสะ ลูกหลานในตระกูลโทคุคาว่า ซึ่งเขาก็ได้มอบดาบเล่มนี้ให้แก่กรมตำรวจในปี 1945 หลังจากนั้นมันก็สูญหายไปในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งปัจจุบันยังมีความพยายามที่จะตามหาดาบเล่มนี้กันอยู่

 

ดาบฮอนโจ มาซามุเนะ  เปิด 7 วัตถุโบราณ กับ เรื่องราวพลังศักดิ์สิทธิ์

6. ม้วนหนังสือเดดซี สมุดโบราณนี้ เป็นม้วนกระดาษโบราณมีจำนวนกว่า 900 ม้วน ที่สันนิฐานว่าเขียนขึ้นเมื่อ 400 ปีก่อนคริสตกาล ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี 1947 ที่อิสราเอล ใกล้ทะเลสาบเดดซี ทะเลสาบน้ำเค็มที่มีความลึกมากที่สุดในโลก ปริศนาม้วนหนังสือเล่มนี้มีอยู่มากมาย ตั้งแต่คนเขียนซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่าใคร แต่นักวิชาการบางคนเชื่อว่าเขียนโดย นักบวชโบราณในศาสนายูดากลุ่มหนึ่ง ที่ชอบปลีกวิเวกและหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์เป็นเวลากว่า 2 พันปีมาแล้ว ข้อความส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนา นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นคำภีร์ไบเบิ้ลฉบับเก่าแก่ที่สุดของโลกเท่าที่เคยค้นพบมา และยังถูกยกให้เป็นหนึ่งในการค้นพบทางโบราณคดีที่สำคัญที่สุดในศตวรรณที่ 20 อีกด้วย

ม้วนหนังสือเดดซี เปิด 7 วัตถุโบราณ กับ เรื่องราวพลังศักดิ์สิทธิ์

 

7. ผ้าห่อศพแห่งตูริน ผ้าโบราณนี้ ถูกเชื่อว่าเป็นผ้าที่ใช้ห่อพระศพของพระเยซู ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี  1357 ที่ประเทศฝรั่งเศส สิ่งที่ทำให้ผ้าผืนนี้รู้จักดังไปทั่วโลก คือ ปี 1898 มีการถ่ายผืนผ้าเป็นครั้งแรกโดยถ่ายแบบเนกาทีฟให้ปรากฏใบหน้าของพระเยซูอย่างชัดเจน และยังมีรอยคราบเลือดสอดคล้องกับตำแหน่งที่พระเยซูบาดเจ็บจากการถูกตรึงกางเขนอีกด้วย ชาวคริสต์จำนวนมากจึงศรัทธาและเชื่อว่าผ้าผืนนี้คือผ้าห่อพระศพของพระเยซูของจริง แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าผ้าตูริน ผืนนี้เป็นของจริงหรือทำเลียนแบบขึ้นมาใหม่หรือไม่ ผ้าห่อศพแห่งตูรินจึงยังคงเป็นปริศนาให้รอการคลี่คลายอยู่ ปัจจุบันผ้าห่อศพผืนนี้ถูกจัดเก็บไว้ในกรอบอย่างดี ใน วิหารเซนต์จอห์น เมืองตูริน ประเทศอิตาลี

ผ้าห่อศพแห่งตูริน เปิด 7 วัตถุโบราณ กับ เรื่องราวพลังศักดิ์สิทธิ์