เริ่มปีใหม่มีผลทันที เพดานเงินสมทบประกันสังคมขยับขึ้น

ครม.เห็นชอบปรับเพดานค่าจ้างที่ใช้คำนวณเงินสมทบประกันสังคม เพิ่มขึ้นทั้งระบบ เริ่มปี 69 พร้อมแผนขยับอัตโนมัติทุก 3 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้น
วันที่ 2 ธันวาคม 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นางสาว อัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ครม.มีมติเห็นชอบการปรับเพดานค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานคำนวณ เงินสมทบกองทุนประกันสังคม ซึ่งถือเป็นการปรับใหญ่ครั้งแรกในรอบหลายสิบปี หลังเพดานเดิม 15,000 บาทถูกใช้ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2538
รองโฆษกเผยว่า ค่าจ้างแรงงานในปัจจุบันเติบโตขึ้นมาก ทั้งอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายวัน รวมถึงโครงสร้างเงินเดือนในหลายอุตสาหกรรม ทำให้ฐานคำนวณเดิมไม่สะท้อนค่าจ้างจริง และส่งผลให้ผู้มีรายได้สูงกว่าเพดานต้องส่งเงินสมทบเท่ากันทั้งหมด จึงจำเป็นต้องปรับเพดานใหม่เพื่อความเป็นธรรม และเพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์ตามระดับรายได้มากขึ้น
✔ เริ่มใช้ 1 มกราคม 2569 ปรับเพดานค่าจ้างแบบ “ขั้นบันได”
รัฐบาลกำหนดให้ปรับเพดานค่าจ้างที่ใช้เป็นฐานคำนวณเงินสมทบเป็น 3 ระยะ คือ
ปี 2569–2571 : ปรับเพดานเป็น 17,500 บาท
ปี 2572–2574 : ปรับเพิ่มเป็น 20,000 บาท
ปี 2575 เป็นต้นไป : ปรับสูงสุดเป็น 23,000 บาท
โดยยังคงอัตราเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ 5% เช่นเดิม
✔ ส่งผลให้เงินสมทบสูงสุดเพิ่มทันทีปี 69
เมื่อฐานเพดานใหม่เริ่มใช้ ผู้มีรายได้ 17,500 บาทขึ้นไป จะส่งเงินสมทบสูงสุด 875 บาทต่อเดือน จากเดิมที่เคยส่ง 750 บาท
การปรับเพดานครั้งนี้จะทำให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์สูงขึ้น เช่น
-- เงินค่ารักษาพยาบาล
-- เงินชดเชยว่างงาน
-- เงินทุพพลภาพ
-- เงินทดแทนการขาดรายได้
-- รวมถึง เงินชราภาพ ที่จะเพิ่มขึ้นตามฐานค่าจ้างใหม่
รองโฆษกระบุว่า การปรับฐานครั้งนี้ยังช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งทางการเงินให้กองทุนประกันสังคม รองรับภาระในอนาคต โดยรัฐบาลจะร่วมสมทบเพิ่มเติมตามสัดส่วนที่กำหนด
แหล่งที่มาอ้างอิง
สำนักนายกรัฐมนตรี (ข้อมูลคำแถลงรองโฆษกฯ)
กระทรวงแรงงาน
สำนักงานประกันสังคม



















