“ดร.ชิดตะวัน” จี้สอบพรรคส้ม ขวางบริจาคช่วยกองทัพ ชี้ละเมิดสิทธิ

“ดร.ชิดตะวัน” ระบุ การขัดขวางประชาชนบริจาคเพื่อสนับสนุนกองทัพ ถือเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ สมควรถูกตรวจสอบตามกฎหมาย
เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2568 ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางรายตั้งคำถามต่อการรับบริจาคให้กองทัพไทย ในระหว่างสถานการณ์ความตึงเครียดชายแดนไทย–กัมพูชา
ดร.ชิดตะวัน ระบุว่า ทำไมคนไทยต้องบริจาคให้กองทัพ?! ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ปรากฏข่าวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคประชาชนได้ทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้งบประมาณของกองทัพ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ พร้อมตั้งคำถามว่า เมื่อกระทรวงกลาโหมได้รับการจัดสรรงบประมาณในปี 2568 ถึงสองแสนล้านบาท เหตุใดจึงต้องรับบริจาคจากประชาชนหรือมูลนิธิในระหว่างสงครามไทย-กัมพูชา และภายหลังจากนั้น
นอกจากนี้ ยังมีการคุกคามว่า ผู้ที่ซื้อหรือบริจาคเสื้อเกราะให้ทหารแนวหน้ามีความเสี่ยงติดคุก การให้ข่าวกรณีดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขาดองค์ความรู้ และไม่ใช่วิสัยการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้แทนปวงชนชาวไทย
หากพิจารณางบประมาณด้านการป้องกันประเทศของไทยพบว่า ไม่ได้อยู่ในระดับสูง กล่าวคือ ข้อมูลงบประมาณรายจ่ายปี 2567 และ 2568 บ่งชี้ว่า กระทรวงกลาโหมได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงเป็นลำดับที่ 4 รองจากกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการคลัง และกระทรวงมหาดไทย
        
        
เมื่อเปรียบเทียบในระดับนานาชาติพบว่า ปี 2567 ประเทศออสเตรเลียและแคนาดา ซึ่งมีประชากรเพียง 27 และ 41 ล้านคน แต่จัดสรรงบประมาณด้านการป้องกันประเทศสูงถึง 34 และ 29 พันล้านดอลลาห์สหรัฐ ตามลำดับ
สำหรับในภูมิภาคอาเซียนพบว่า สิงคโปร์มีการใช้จ่ายงบประมาณด้านการป้องกันประเทศสูงที่สุดลำดับที่ 1 จำนวน 15 พันล้านดอลลาห์สหรัฐ คิดเป็นประมาณ 3.2% ของ GDP ตามมาด้วยอินโดนิเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ส่วนประเทศไทยอยู่ลำดับที่ 5 เป็นจำนวนเงินประมาณ 5.7 พันล้านดอลลาห์สหรัฐ คิดเป็น 1.2% ของ GDP
เมื่อพิจารณาประวัติศาสตร์พบว่า ในภาวะสงคราม พลเมืองทุกชาติ อาทิ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น อิสราเอล ฯลฯ ไม่เพียงแต่บริจาคทรัพย์สินเงินทอง แต่ยังเสียสละได้แม้ชีวิต เพื่อความอยู่รอดของแผ่นดินมาตุภูมิ
ในกรณีประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามที่ผู้เขียนเคยไปเยี่ยมเยือน ผู้เฒ่าผู้แก่ซึ่งผ่านชีวิตในช่วงสงคราม ซึ่งเวียดนามได้ทำให้ประเทศมหาอำนาจอันดับ 1 ที่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ล้ำสมัย พ่ายกระเจิงอย่างหมดรูปมาแล้ว ได้เล่าให้ฟังว่า
“เรารบชนะอเมริกา เพราะพวกเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก จะเป็นผู้หญิง จะอายุน้อย อายุมาก เราวิ่งเข้าสู้ เราออกไปรบโดยไม่ได้คิดว่าจะกลับมามีชีวิต เห็นหน้าลูกเมียอันเป็นที่รัก เราออกไปรบโดยรู้เพียงว่าหนทางข้างหน้ามีเพียงความตายรออยู่ ชีวิตที่ได้อุทิศเพื่อให้คนรุ่นหลังสามารถได้อยู่อย่างเป็นไท ไม่ต้องตกเป็นทาสประเทศใด หัวใจที่รักชาติคือพลังอันยิ่งใหญ่ที่ปลุกคนเวียดนามขึ้นมา”
        
        
ด้วยจิตวิญญานแห่งความเสียสละ ที่เห็นแก่ประโยชน์ของบ้านเมือง มากกว่าประโยชน์ส่วนตน ทำให้เวียดนามซึ่งเป็นประเทศที่ย่อยยับจากการทำสงครามกับประเทศมหาอำนาจผู้รุกรานทั้งฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา สามารถพลิกแผ่นดินจนเจริญรุดหน้าแซงประเทศไทยในหลายมิติ
การที่คนไทยร่วมกันบริจาคเพื่อสนับสนุนทหารให้ทำหน้าที่ป้องกันประเทศ นอกจากจะแสดงถึงความเสียสละในยามบ้านเมืองมีภัยสงคราม ซึ่งสอดรับกับแนวปฏิบัติของชนชาติที่มีความเจริญ ยังเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของประชาชนตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
การกระทำใด ๆ อันบ่งชี้ถึงความพยายามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อระงับหรือยับยั้งมิให้ประชาชนบริจาค ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือเงิน ในห้วงเวลาที่ประเทศกำลังเผชิญกับภัยคุกคาม นอกจากเป็นกรณีละเมิดสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนแล้ว ยังเข้าข่ายการละเมิดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง สมควรที่คนไทยซึ่งรักชาติรักแผ่นดินจะยื่นตรวจสอบตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น
ที่มา @ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล
        

โครงการคนละครึ่ง พลัส ไม่ได้จำกัดแค่ร้านอาหารเท่านั้น

แค่เห็นก็ขนลุก เปิดความเชื่อโบราณเกี่ยวกับ ต้นไทร ที่คนยุคนี้ไม่เคยรู้

เปิดตำราโบราณ อาบแสงจันทร์ เสริมเสน่ห์ ฤกษ์ดีมีปีละครั้ง

เปิดความจริง! หมีขั้วโลกกับเพนกวินไม่มีวันเจอกันตามธรรมชาติ
















