ลูกสาว "นิกกี้ขยี้ข่าว" แจ้งจับแม่ ทำร้าย ใช้ปืน -มีด จี้ข่มขู่ รีดเงินจากพ่อ

10 มกราคม 2567

ลูกสาว เจ้าของเพจ "นิกกี้ขยี้ข่าว" เข้าแจ้งความเอาผิดผู้เป็นแม่ หลังทำร้ายร่างกาย อ้างแม่เคยใช้ปืน -มีด จี้ข่มขู่ รีดเงินค่าเลี้ยงดูจากพ่อ

กลายเป็นปะเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมาก จากกรณีที่เมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2567 ที่ผ่านมา น.ส.ชลิดา พะละมาตย์ หรือ ต้นอ้อ ประธานกลุ่มเป็นหนึ่ง พร้อมด้วย นางพิศพรรณ ศรีไชยยันต์ หรือ คุณปิ่น ผู้บริหารโรงพยาบาลเลอลักษณ์ ได้พาเด็กสาวอายุ 19 ปี และอายุ 14 ปี ซึ่งเป็นลูกสาวของ นิกกี้ ศรินทิพย์ ศรีภักดิ์ เวนไรท์ หรือ นิกกี้ขยี้ข่าว เข้าแจ้งความกับตำรวจ หลังถูกแม่ทำร้ายร่างกายหลายครั้ง อ้างใช้ความรุนแรงกับลูก บางครั้ถูกบังคับให้วิดีโอคอลหาพ่อ โดยแม่ใช้ปืนจี้หัว มีดจี้คอ ข่มขู่เพื่อเรียกเงินค่าดูแลหลักแสนต่อเดือนกับสามี

 

ลูกสาว นิกกี้ขยี้ข่าว แจ้งจับแม่ ทำร้าย ใช้ปืน มีด จี้ข่มขู่ รีดเงินจากพ่อ

ทันทีที่กลุ่มเป็นหนึ่งไปพบ ลูกสาวคนโตก็ร้องไห้ และเล่าเรื่องราวให้กลุ่มเป็นหนึ่งฟังว่า ตนเองและน้องเป็นลูกสาวของ เจ้าของเพจ "นิกกี้ขยี้ข่าว" แต่คนละพ่อ โดยพ่อของน้องสาว เป็นชาวต่างชาติมีฐานะ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ตนเองถูกทำร้ายร่างกายตั้งแต่เด็ก และบางครั้งใช้ความรุนแรงกับลูกในการข่มขู่สามี เพื่อเรียกเงินค่าดูแล ซึ่งพ่อเคยส่งเงินมาให้หลักแสนแล้ว แต่ท้ายสุดเงินหมด ขอบ่อยจนเลิกส่งเงินไปช่วงหนึ่ง 


โดยทางกลุ่มเป็นหนึ่ง ได้นำคลิปสั้นความยาว 3 วินาทีมาให้ทีมข่าว โดยพบว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ในมือถือมีดอีโต้ และพยายามพังประตู ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ลูกล็อคห้อง ทำให้แม่ไม่พอใจ เลยพังห้องเข้ามา และทำประตูพังตามคลิป นอกจากนี้ยังมีการแชทข้อความที่คาดว่า เป็นแชทที่ลูกสาวคุยกับแม่ ซึ่งจะเห็นว่า มีพฤติกรรมคล้ายข่มขู่ รวมถึง มีการทำลายหนังสือเดินทาง  ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักฐานที่จะนำมาใช้ยื่นต่อพนักงานสอบสวน เพื่อให้เห็นถึงพฤติกรรมของแม่ 

ลูกสาว นิกกี้ขยี้ข่าว แจ้งจับแม่ ทำร้าย ใช้ปืน มีด จี้ข่มขู่ รีดเงินจากพ่อ

อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่ทางกลุ่มเป็นหนึ่งเข้าไปหาเด็กๆ ทางกลุ่มให้ข้อมูลว่า ทางผู้เป็นแม่ทัก และโทรศัพท์มาหาลูกสาวอยู่เรื่อยๆ และตอนนี้น้องอยู่ในความกลัว จากนั้นทางกลุ่มเป็นหนึ่ง พร้อมเจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือ พม. แลคุณปิ่น เลอลักษณ์ ร่วมกันพาเด็กทั้ง 2 มาแจ้งความร้องทุกข์ที่ สน.ประชาชื่น โดยก่อนเข้าพบพนักงานสอบสวนได้เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า การขู่คุณพ่อ ซึ่งสาเหตุที่ทำร้ายเพราะต้องการเงิน รวมถึงพูดจารุนแรงใส่  โดยเป็นมาตั้งแต่ก่อนโควิด ซึ่งมีตั้งแต่ขอดีๆ กับพ่อ หรือ บังคับ การเดินทางมาวันนี้ เริ่มต้นจากเด็กทั้ง 2 ไปร้องขอความช่วยเหลือจากคุณปิ่น เลอลักษณ์ จากนั้น จึงประสานกลุ่มเป็นหนึ่ง ขอให้ช่วยเหลือเด็ก

 

โดยลูกสาวคนโต วัย 19 ปี เล่าว่าที่ผ่านมาถูกแม่ทำร้ายร่างกายบ่อยครั้ง ทั้งทุบตี ด้วยไม้ ไม้แขวน มือ ปลั๊กไฟ และทำลายพาสปอร์ตเพื่อโทรหาพ่อ รวมถึงใช้วิธีข่มขู่ต่างๆ ล่าสุดที่ทำร้ายร่างกายคือเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว  


ส่วนใหญ่เวลาลงมือ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ ณ เวลานั้น โดยแต่ละครั้งขอเงินเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นเงินที่ต้องเอามาเลี้ยงดูลูกๆ แต่ก่อนเคยโอนให้แม่ แต่ตอนนี้ ได้โอนเงินตรงมาให้ตัวเอง เพราะก่อนหน้านี้มีปัญหา

 

ซึ่งเป็นรายละเอียดส่วนตัวของแม่ ส่วนที่ว่าเอาไปใช้เปย์บาร์โฮสหรือไม่ ตนเองไม่ขอลงรายละเอียด เพราะเป็นความชอบของแต่ละบุคคล แต่เท่าที่บอกได้คือ แม่อ้างว่า จะนำเงินไปทำธุรกิจ ยอมรับว่าเวลาแม่ดีแม่ก็รักตนเองมาก แต่เวลาร้ายก็จะร้ายมากเช่นกัน  บางครั้งก็ทำร้ายตนเอง ทั้งที่ตนไม่ได้ทำอะไรผิด 


ที่ผ่านมาเราให้เวลาให้แม่คิดได้ แต่แม่ก็คิดไม่ได้สักทีทำให้ตนตัดสินใจออกมาในวันนี้ สาเหตุที่มาที่ สน.ในวันนี้ตนเองต้องการจะหลุดพ้นจากเขา เพราะในทางกฎหมาย เอกสารทางราชการ เช่นหนังสือเดินทาง ไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง ต้องรอบรรลุนิติภาวะก่อน ที่ผ่านมาเคยแจ้งความแล้วหลายครั้งแต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เหตุผลว่าข้อมูลไม่เพียงพอ รวมถึงไปร้องกับทางมูลนิธิ แต่ทางมูลนิธิแจ้งว่าจะต้องเข้าไปสอบถามข้อเท็จจริงกับทางคุณแม่ แต่ตนเองกลัว  

ลูกสาว นิกกี้ขยี้ข่าว แจ้งจับแม่ ทำร้าย ใช้ปืน มีด จี้ข่มขู่ รีดเงินจากพ่อ


ด้านคุณปิ่น เล่าว่า เด็กทั้งสองคนได้เดินทางไปที่โรงพยาบาลเมื่อวานนี้เพื่อขอความช่วยเหลือจากตน ตนจึงได้สอบถามข้อเท็จจริง และประสานกับทางกลุ่มเป็นหนึ่ง เพื่อให้ประสานความช่วยเหลือ   


ขณะที่ น.ส.ชลิดา ยืนยันว่า ไม่ได้ปั่นเด็ก ตามที่แม่ของเด็กกล่าวหา ตนเองไม่ได้รู้จักกับเด็กเป็นการส่วนตัว แต่เด็กไปร้องขอความช่วยเหลือทางคุณปิ่น แต่ในเมื่อเด็กรู้สึกว่าถึงจุดหนึ่งที่อยากจะออกจากตรงนั้น มันเป็นโอกาสเพราะที่ผ่านมาไม่รู้ใครจะช่วยเหลือเขา เพราะพ่อไปอยู่ต่างประเทศ ก็จะต้องมีการพูดคุยกับทางเจ้าหน้าที่ว่าจะสามารถช่วยเหลือเด็กอย่างไรได้บ้าง เพราะหากกลับไปเด็กจะต้องโดนหนักกว่าเดิมแน่นอน ซึ่งน้องจะประสานไปหาคุณพ่อที่อยู่ต่างประเทศ