กทม.ปิดไฟ 1 ชั่วโมง ลดการใช้ไฟฟ้าได้ 24.65 เมกะวัตต์ ค่าไฟลด 1.3 แสนบาท

25 มีนาคม 2567

กทม. ร่วมกับภาคีเครือข่ายรวมพลัง “ปิดไฟ 1 ชั่วโมง เพื่อลดโลกร้อน ปี 2567” (60+ Earth Hour 2024) ลดความต้องใช้ไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ลงได้ 24.65 เมกะวัตต์

     นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า กิจกรรม “ปิดไฟ 1 ชั่วโมง เพื่อลดโลกร้อน ปี 2567 (60+ Earth Hour 2024) เป็นกิจกรรมที่กรุงเทพมหานคร โดยสำนักสิ่งแวดล้อม สำนักและสำนักงานเขต ร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ เอกชน รณรงค์และเชิญชวนผู้ประกอบการ ร้านค้า ประชาชน ลดการใช้พลังงานและปิดไฟที่ไม่จำเป็น เช่น ไฟประดับ ไฟอาคาร ป้ายโฆษณา รวมถึงการถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช้งาน ลดการใช้เครื่องปรับอากาศในอาคารบ้านเรือน เป็นเวลา 1 ชั่วโมง พร้อมกับเมืองต่าง ๆ กว่า 7,000 เมือง 190 ประเทศทั่วโลก ในวันเสาร์ที่ 23 มีนาคม 2567 ระหว่างเวลา 20.30 - 21.30 น. ซึ่งทุกภาคส่วนได้ให้ความร่วมมือปิดไฟในช่วงดังกล่าว

  กทม.ปิดไฟ 1 ชั่วโมง ลดการใช้ไฟฟ้าได้ 24.65 เมกะวัตต์ ค่าไฟลด 1.3 แสนบาท

 

กทม.ปิดไฟ 1 ชั่วโมง ลดการใช้ไฟฟ้าได้ 24.65 เมกะวัตต์ ค่าไฟลด 1.3 แสนบาท

โดยในปีนี้ 5 Landmark หลักของกรุงเทพมหานคร ได้แก่

  • วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) พระบรมมหาราชวัง
  • วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร
  • เสาชิงช้า
  • สะพานพระราม 8 
  • วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร (ภูเขาทอง)

กทม.ปิดไฟ 1 ชั่วโมง ลดการใช้ไฟฟ้าได้ 24.65 เมกะวัตต์ ค่าไฟลด 1.3 แสนบาท

     จากการคำนวณปริมาณการใช้ไฟฟ้าช่วงเวลาดังกล่าวในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยการไฟฟ้านครหลวง พบว่า กิจกรรม #ปิดไฟ 1 ชั่วโมง เพื่อลดโลกร้อน ปี 2567 นี้

  • ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สามารถลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าได้ 24.65 เมกะวัตต์ เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เมื่อวันเสาร์ที่ 16 มีนาคม 2567 ระหว่างเวลา 20.30 - 21.30 น.
  • ลดความต้องการการใช้ไฟฟ้าลงได้ 24.65 เมกะวัตต์ ลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 11 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เทียบได้กับการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของต้นไม้ 1,100 ต้น ใน 1 ปี (ต้นไม้ยืนต้น 1 ต้น สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 10 กิโลกรัมต่อปี)
  • สามารถลดค่าไฟฟ้าลงได้ 130,182 บาท

กทม.ปิดไฟ 1 ชั่วโมง ลดการใช้ไฟฟ้าได้ 24.65 เมกะวัตต์ ค่าไฟลด 1.3 แสนบาท

กรุงเทพมหานครให้ความสำคัญต่อปัญหาภาวะโลกร้อน

      กรุงเทพมหานครได้ให้ความสำคัญต่อปัญหาภาวะโลกร้อนซึ่งส่งผลกระทบไปทั่วโลก จึงได้รณรงค์เพื่อสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนและทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญและมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในกิจกรรมที่ดำเนินการคือกิจกรรมปิดไฟ 1 ชั่วโมง เพื่อลดโลกร้อน โดยร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐ เอกชน รณรงค์ในกิจกรรมดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2551

ผลจากการจัดกิจกรรม ปิดไฟ 1 ชั่วโมง ลดโลกร้อน

     ผลจากการจัดกิจกรรม “ปิดไฟ 1 ชั่วโมง เพื่อลดโลกร้อน (60+ Earth Hour) เมื่อปี 2566 ในพื้นที่กรุงเทพฯ

  • สามารถลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าได้ 36 เมกะวัตต์
  • ลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ 5.2 ตัน หรือเทียบกับเที่ยวบินกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ จำนวน 43 เที่ยวบิน หรือการใช้รถยนต์ดีเซลเท่ากับ 31,200 กิโลเมตร หรือเทียบกับการปิดไฟครัวเรือน 23,400 ครัวเรือน

จากการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2551 - 2566

  • สามารถลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าได้ 22,512 เมกะวัตต์
  • ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตัวการปัญหาโลกร้อนได้ 12,260.6 ตัน คิดเป็นมูลค่า 81.14 ล้านบาท
  • นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่าย 30 หน่วยงาน ร่วมประกาศเจตจำนง กับกรุงเทพมหานครในการดำเนินการลดภาวะโลกร้อน 4 ด้าน ประกอบด้วย
  1. ด้านการขนส่งมวลชน
  2. ด้านพลังงาน
  3. ด้านพื้นที่สีเขียว
  4. ด้านการจัดการขยะมูลฝอย

ผลการดำเนินงานในปี 2565 สามารถลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย

  • ด้านขนส่งมวลชน 1,525.6 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
  • ด้านพลังงาน 24,178 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
  • ด้านการจัดการมูลฝอย 1,140.9 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
  • ด้านพื้นที่สีเขียวที่ช่วยในการดูดซับก๊าซ 131.3 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า รวมปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจกของ 30 หน่วยงาน 26,975.9 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

 สำหรับกิจกรรมดังกล่าว เป็นเพียงสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความร่วมมือ หากประชาชนทุกคนตระหนักถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและร่วมอนุรักษ์พลังงาน ด้วยการปฏิบัติให้เป็นวิถีชีวิตประจำวัน เช่น ถอดปลั๊กไฟทุกครั้งหากไม่ใช้งาน ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าเท่าที่จำเป็น ปิดไฟที่ไม่ใช้งานทุกครั้งอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการลงมือปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เช่น การใช้จักรยาน การปลูกต้นไม้ การลดใช้รถยนต์ เป็นต้น ซึ่งด้วยวิธีง่าย ๆ เหล่านี้ ถ้าทุกคนร่วมมือกัน จะเป็นพลังยิ่งใหญ่ที่ช่วยโลกของเราจากปัญหาโลกร้อนไดอย่างยั่งยืน