ไทยเตรียมใจ! เวียดนามจ่อแซงเศรษฐกิจปี 2026 นี้จริงหรือ?

เจาะลึกอนาคต เศรษฐกิจไทย เปรียบเทียบ เศรษฐกิจเวียดนาม ปี 2024-2030 สถิติชี้ชัดเวียดนามมีโอกาสแซงไทยในแง่ GDP เร็วกว่าที่คิด
สปอตไลท์ทางเศรษฐกิจในอาเซียนกำลังเปลี่ยนทิศครับ หลังจากที่คนไทยเคยสงสัยว่าเราจะตามมาเลเซียทันไหม แต่ภาพวันนี้ชัดเจนแล้วว่าเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียกำลังสปีดไปสู่ประเทศรายได้สูงภายในปี 2030 ทิ้งให้ไทยต้องกลับมามองกระจกหลังเพื่อดูคู่แข่งที่กำลังหายใจรดต้นคออย่าง เศรษฐกิจเวียดนาม และอินโดนีเซียแทน
เวียดนามจะแซงไทยเมื่อไหร่? เจาะตัวเลข GDP ที่น่ากังวล หากกางสถิติปี 2024 ออกมาดูจะพบว่าช่องว่างนั้นแคบลงเรื่อยๆ ครับ ปัจจุบัน GDP ไทย อยู่ที่ 461,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ GDP เวียดนาม ไล่กวดมาติดๆ ที่ 405,000 ล้านดอลลาร์ แต่สิ่งที่น่าตกใจกว่าคือ ภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ (PPP) ที่เวียดนามห่างจากไทยเพียงแค่ 1 แสนล้านดอลลาร์เท่านั้น
ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า หากไทยยังโตช้าที่ระดับ 2.17% แต่เวียดนามยังรักษาความเร็วที่ 5.81% ต่อปี เราอาจเห็นเวียดนามแซงไทยในแง่ขนาดเศรษฐกิจ (PPP) เร็วที่สุดในปี 2026 และแซงหน้าด้วย GDP โดยรวมทั้งหมดภายในปี 2030 นี้ครับ
ทำไมเวียดนามถึงแรงดีไม่มีตก? ปัจจัยสำคัญคือเรื่องของ "ผลิตภาพ" ครับ ข้อมูลระบุว่า การสะสมทุน ของเวียดนามโตสูงกว่าไทยเกือบ 10 เท่า และ ผลิตภาพแรงงาน ของเขาก็พุ่งสูงถึง 4.6% ในขณะที่ไทยขยับเพียง 0.6% เท่านั้น สิ่งนี้สะท้อนว่าแรงงานเวียดนามรุ่นใหม่มีความกระหายและสร้างมูลค่าได้มากกว่าในเชิงสถิติระยะสั้น
“เพดานแก้ว” อุปสรรคที่เวียดนามยังก้าวไม่พ้น อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าเวียดนามจะแซงเราได้ทุกมิติครับ เพราะในแง่ รายได้ต่อหัวประชากร ไทยยังนำอยู่ค่อนข้างมาก คาดว่าเวียดนามต้องใช้เวลาอีก 15-20 ปีถึงจะไล่ทัน เนื่องจากเขามีประชากรสูงถึง 101 ล้านคน นอกจากนี้เศรษฐกิจเวียดนามยังพึ่งพา FDI หรือการลงทุนจากต่างชาติมากเกินไป โดยส่วนใหญ่ยังเป็นเพียง "ฐานการประกอบ" ที่ขาดอุตสาหกรรมต้นน้ำและ แรงงานทักษะสูง
บทสรุปการแข่งขัน: ใครจะหลุดจากกับดักรายได้ปานกลาง? ศึกครั้งนี้เหมือนการวิ่งทางไกลครับ ไทย คือนักวิ่งรุ่นเก๋าที่เริ่มมีอาการล้าและต้องเร่งปรับโครงสร้างเพื่อรักษาตำแหน่ง ส่วน เวียดนาม คือนักวิ่งดาวรุ่งที่กำลังเร่งสปีด แต่ต้องระวังไม่ให้สะดุดขาตัวเองจากข้อจำกัดภายใน ทั้งสองประเทศต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือการก้าวข้าม กับดักรายได้ปานกลาง ให้ได้เร็วที่สุด
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ



















