EF เปิดผลสอบปี 2025 ไทยรั้งท้ายเอเชีย ภาษาอังกฤษวิกฤตหนัก

รายงาน ดัชนีความสามารถทางภาษาอังกฤษ EF Education First (EF EPI) ปี 2025 เปิดเผยข้อมูลที่น่ากังวลต่อศักยภาพของประเทศไทย โดยระบุว่า ความสามารถภาษาอังกฤษของไทยอยู่ในระดับต่ำมาก (Very Low Proficiency) จัดอันดับที่ 116 จาก 123 ประเทศทั่วโลก สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างด้านการเรียนรู้ภาษาที่ยังแก้ไม่ตก

 

ไทยรั้งรองบ๊วยเอเชีย คะแนนลดลงต่อเนื่อง

ในระดับภูมิภาคเอเชีย ประเทศไทยรั้งอันดับรองสุดท้าย เป็นรองเพียงประเทศกัมพูชาเท่านั้น ขณะที่คะแนนรวมปีนี้อยู่ที่ 402 คะแนน ลดลงถึง 13 คะแนน จากปีก่อนที่ทำได้ 415 คะแนน สะท้อนแนวโน้มถดถอยอย่างชัดเจน

เขียน-พูด อ่อนสุดในระบบการศึกษาไทย

เมื่อแยกตามทักษะ พบว่า การเขียน (363 คะแนน) และ การพูด (377 คะแนน) เป็นจุดอ่อนรุนแรงที่สุดของคนไทย ขณะที่ การอ่าน (416 คะแนน) ทำได้ดีที่สุด รองลงมาคือ การฟัง (385 คะแนน) สอดคล้องกับรูปแบบการเรียนที่เน้นท่องจำมากกว่าสื่อสารจริง

 

วัยทำงานต้นยังพอไปได้ พัทยาแซงกรุงเทพฯ

ข้อมูลเชิงลึกระบุว่า กลุ่มที่มี ทักษะภาษาอังกฤษสูงสุดคือวัยทำงานตอนต้น อายุ 26–30 ปี ทำได้ 481 คะแนน
ด้านพื้นที่ ภาคกลาง ทำคะแนนเฉลี่ยสูงสุดของประเทศที่ 438 คะแนน โดย พัทยา ครองแชมป์เมืองภาษาอังกฤษดีที่สุดในไทยที่ 474 คะแนน สูงกว่า กรุงเทพฯ ที่ได้เพียง 400 คะแนน

ภาษาอังกฤษยังจำเป็นในยุค AI

แม้ เทคโนโลยี AI และระบบแปลภาษา จะพัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่รายงานชี้ว่า ภาษาอังกฤษยังเป็นภาษาหลักของโลก เนื่องจากเครื่องมือ AI ขั้นสูงส่วนใหญ่ถูกพัฒนาเป็นภาษาอังกฤษก่อน ผู้ที่มีทักษะดีจึงเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและการแข่งขันได้เร็วกว่า
ขณะเดียวกัน AI ยังไม่สามารถทดแทน อารมณ์ น้ำเสียง และความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ในการสื่อสารได้ทั้งหมด

 

ข้อเสนอเร่งปฏิรูปการเรียนภาษาอังกฤษไทย

รายงาน EF เสนอแนวทางสำคัญให้ไทยเร่งดำเนินการ ได้แก่

- ปรับหลักสูตรเน้นการสื่อสารจริง โดยเฉพาะการพูดและการเขียน

- บูรณาการ AI ในห้องเรียน เพื่อสร้างการเรียนรู้เฉพาะบุคคลและฝึกฝนได้ไม่จำกัด

- ลงทุนแก้จุดอ่อนเชิงกลยุทธ์ เพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศในเศรษฐกิจโลก

 

ยุโรปยังครองแชมป์โลก

ในระดับสากล ประเทศในยุโรปยังคงครอง 10 อันดับแรกของโลก นำโดย เนเธอร์แลนด์ (624 คะแนน) ตามด้วย โครเอเชีย และ ออสเตรีย ตอกย้ำความเหลื่อมล้ำด้านทักษะภาษาที่ไทยยังต้องเร่งตามให้ทัน

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ