ตำรวจสอบสวนกลางไล่ล่าระทึก 40 กม. สกัดรถขนแรงงานเถื่อน

ตำรวจทางหลวงสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการไล่ล่าระทึกยามเช้า หลังพบรถกระบะต้องสงสัยบรรทุกแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองกำกับการ 6 กองบังคับการตำรวจทางหลวง ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้อง สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชุดตรวจยึดออกกวดขันจับกุมขบวนการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย
เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2568 เวลาประมาณ 05.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงออกตรวจพื้นที่ทางหลวงหมายเลข 323 หลักกิโลเมตรที่ 100 อำเภอเมืองกาญจนบุรี พบรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล สีขาว ทะเบียนจังหวัดกาญจนบุรี มีลักษณะบรรทุกหนักผิดปกติ จึงส่งสัญญาณไฟและเสียงไซเรนให้หยุดตรวจ แต่รถคันดังกล่าวกลับเร่งเครื่องหลบหนี มุ่งหน้าเส้นทางวังสิงห์–บ้านเก่า
เจ้าหน้าที่เปิดการไล่ล่าบนถนนเป็นระยะทางกว่า 40 กิโลเมตร ก่อนที่รถต้องสงสัยจะเสียหลักพุ่งเข้าไปในไร่อ้อย และชนเข้ากับคันดินจนไม่สามารถไปต่อได้ ในพื้นที่หมู่ 3 ตำบลวังเย็น อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี คนขับอาศัยความมืดและความชุลมุนหลบหนีเข้าไปในไร่อ้อย
จากการตรวจสอบภายในรถ พบแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา จำนวน 19 คน แบ่งเป็นผู้ต้องหา 10 คน และผู้ติดตามอีก 9 คน ในจำนวนนี้มีทั้งเยาวชนและเด็กเล็ก ไม่พบหนังสือเดินทางหรือเอกสารแสดงตน และไม่สามารถสื่อสารภาษาไทยได้
จากการสอบถามผ่านล่ามแปล ทราบว่าแรงงานทั้งหมดเดินทางมาจากเมืองย่างกุ้ง จังหวัดยะไข่ และเมืองพญาตองซู ประเทศเมียนมา ลักลอบเข้าประเทศไทยผ่านพื้นที่บ้านพระเจดีย์สามองค์ โดยมีนายหน้าจัดหาเส้นทางและรถรับส่ง เรียกเก็บค่าเดินทางคนละ 10,000–20,000 บาท เพื่อไปทำงานในพื้นที่จังหวัดราชบุรี ตลาดมหาชัย และบางส่วนเตรียมเดินทางต่อไปยังประเทศมาเลเซีย
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแจ้งข้อกล่าวหา “เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต” ก่อนควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองกาญจนบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

2 ราศี ปีทองโชคลาภ 2569 โหรดังเคาะเงินพุ่ง รวยสุดในรอบ 12 ปี

PM2.5 กรุงเทพฯ พุ่งโซนสีส้ม สาทร–บางคอแหลมหนักสุด กระทบสุขภาพ

เศร้าสูญเสีย ครูฝึกสอนคาราเต้ทีมชาติ จากไปกะทันหัน หลังเพิ่งเสร็จภารกิจซีเกมส์

ช่องดัง แจงดราม่า เขียวหวานเนื้อมีแต่มะเขือ หอบกระเช้าขอโทษ "ป้าติ๋ม" แล้ว
















