“หาดใหญ่เหลือรพ.เดียวรับ 7 แสนคน หลังน้ำท่วมหนักล่มระบบสุขภาพ”

ระบบสุขภาพหาดใหญ่ล่ม หลังน้ำท่วมหนักทำโรงพยาบาล 4 จาก 5 แห่งหยุดบริการ เหลือเพียงโรงพยาบาลเดียวดูแลประชากร 700,000 คน พร้อมข้อเสนอแก้วิกฤตด่วน.
ระบบสาธารณสุขของอำเภอหาดใหญ่กำลังเผชิญภาวะวิกฤตอย่างไม่เคยมีมาก่อน หลัง น้ำท่วมครั้งใหญ่ทำให้โรงพยาบาล 4 ใน 5 แห่งต้องหยุดบริการ ส่งผลให้ประชากรกว่า 700,000 คนต้องพึ่งพาเพียงโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ที่ยังเปิดทำการอยู่เพียงแห่งเดียว สถานการณ์นี้ถือเป็นการล่มสลายของโครงสร้างสาธารณสุขในพื้นที่ ซึ่งสร้างความวิตกอย่างกว้างขวางแก่ทั้งบุคลากรทางการแพทย์และประชาชน
ผศ. นพ. ภัทร โคระธนากูล ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายทรัพยากรบุคคล คณะแพทยศาสตร์ ม.อ. ระบุว่า โครงสร้างด้านสุขภาพของเมืองเสียหายหนักจากน้ำที่ท่วมทั้งห้องผู้ป่วย ระบบไฟฟ้า แผนกภาพวินิจฉัย รวมถึงอุปกรณ์สำคัญอย่าง CT สแกน และ MRI ทำให้โรงพยาบาลในเขตเมืองเกือบทั้งหมดหยุดปฏิบัติงานทันที
หาดใหญ่เคยมีศักยภาพกว่า 2,000 เตียง เหลือใช้งานจริงเพียงส่วนเดียว
ก่อนเกิดเหตุ เมืองมีโรงพยาบาลหลัก 5 แห่ง ทั้งภาครัฐและเอกชน พร้อมคลินิกเอกชนกว่า 200 แห่ง แต่ขณะนี้ ภาระทั้งหมดกลับตกอยู่ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์เพียงแห่งเดียว ซึ่งต้องรองรับทั้งผู้ป่วยฉุกเฉิน ผู้ป่วยสะสมจากโรงพยาบาลที่ปิดบริการ และกรณีทั่วไปที่ประชาชนยังจำเป็นต้องเข้ารับการรักษา
ผศ. นพ. ภัทร ตั้งคำถามสำคัญว่า
“โรงพยาบาลแห่งเดียวจะรองรับเมืองที่มีประชากร 700,000 คนได้อีกนานแค่ไหน?”
พร้อมเตือนว่าทรัพยากรบุคลากรและอุปกรณ์ทุกด้านกำลังตึงตัวถึงขีดสุด
5 มาตรการเร่งด่วนเพื่อประคองระบบสาธารณสุข
ผศ. นพ. ภัทร เสนอแนวทางเร่งด่วนที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือ ได้แก่
1. สร้าง “ทีมสุขภาพไร้พรมแดน” ให้บุคลากรจากโรงพยาบาลที่หยุดให้บริการย้ายไปช่วยงานที่ ม.อ. โดยไม่ยึดติดสังกัด
2. ระดมเวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์เร่งด่วน พร้อมเชิญชวนบริจาคผ่านมูลนิธิของโรงพยาบาล
3. ขอให้ประชาชนประเมินความเร่งด่วนก่อนเข้ารับการรักษา โดยเฉพาะช่วงกลางคืน เพื่อให้บุคลากรมีเวลาพัก
4. ต้องการผู้นำด้านสาธารณสุขที่ชัดเจนและเข้มแข็ง ในการจัดสรรทรัพยากรและสนับสนุนด้านโลจิสติกส์
5. เสนอรัฐบาลยกเว้นภาษีให้ผู้ประสบอุทกภัย เพื่อช่วยฟื้นฟูชีวิตและบ้านเรือน
สถานการณ์เกิดขึ้นท่ามกลางการปรับโครงสร้างการจัดการวิกฤตในพื้นที่ รวมถึงการเปิดระบบติดตามผู้ที่อพยพหนีน้ำ และการปลดนายอำเภอหาดใหญ่เนื่องจากละเลยหน้าที่ ทำให้ความกดดันในการบริหารปัญหาทวีความเข้มข้นมากขึ้น



















