บอร์ด สปสช. เคาะนโยบายประกาศฉบับใหม่ รับ "ฟอกไตฟรีทุกแห่ง"

บอร์ด สปสช. เคาะประกาศฉบับใหม่ รับ "ฟอกไตฟรีทุกแห่ง" ย้ำทุกหน่วยบริการห้ามเรียกเก็บเงินจากผู้ป่วยเพิ่มทุกกรณี
8 พฤศจิกายน 2568 “บอร์ด สปสช.” เคาะนโยบายฟอกไตฟรีทุกแห่ง – ขยายบริการปลูกถ่ายไต เร่งร่างแผนและมาตรการของประกาศฉบับใหม่รองรับรักษาสิทธิ์ผู้ป่วยได้รับการฟอกไตตามวิธีที่เหมาะสม ผ่านการประเมินโปร่งใส เป็นธรรม โดยคณะแพทย์และคณะกรรมการ ย้ำทุกหน่วยบริการห้ามเรียกเก็บค่าบริการเพิ่มทุกกรณี เปิดสิทธิ์ให้ผู้ป่วยรายเก่าที่ต้องจ่ายเงินเองยื่นอุทธรณ์ขอเปลี่ยนวิธีได้ สานพลัง สปสช.-สธ. ร่วมเพิ่มศักยภาพการปลูกถ่ายไตเพื่อประชาชนทั่วถึง
นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ด สปสช. เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2568 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการของร่างแผนและมาตรการในประกาศสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่องการจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขกรณีบริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรังด้วยการบำบัดทดแทนไต พ.ศ. 2568 (ฉบับที่ 2) เพื่อรองรับนโยบายฟอกไตฟรีทุกแห่ง และขยายการปลูกถ่ายไต เป็นไปตามกรอบมติบอร์ด สปสช. เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2567 และมติบอร์ด สปสช. เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2568
ทั้งนี้ ร่างแผนดังกล่าว ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สิทธิบัตรทองหรือ 30 บาทรักษาทุกที่) ที่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ทั้งที่มีและไม่มีข้อสนับสนุนทางสังคมและครอบครัว สามารถเข้ารับบริการบำบัดทดแทนไตทั้ง 4 วิธี ได้แก่ 1.การฟอกเลือด (HD) 2.การล้างไตทางช่องท้องด้วยตนเอง (CAPD) หรือด้วยเครื่องอัตโนมัติ (APD) 3.การปลูกถ่ายไต (KT) และ 4.การรักษาแบบประคับประคอง (PC) ได้ตามความเหมาะสมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ผ่านกระบวนการตัดสินใจร่วมกันกับแพทย์ และการพิจารณาให้สิทธิ์โดยการประเมินความเหมาะสม (Pre-Authorization) โดยคณะกรรมการไประดับเขต รวมถึงห้ามหน่วยบริการเรียกค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากผู้ป่วยไม่ว่ากรณีใดก็ตาม
นายพัฒนา กล่าวว่า ส่วนเป้าหมายการปลูกถ่ายไตเพิ่มมากขึ้นตามเป้าหมายกระทรวงสาธารณสุข โดยเน้นเพิ่มการปลูกถ่ายจากผู้บริจาคที่ยังมีชีวิต (Living donor) ซึ่ง สปสช. จะทำงานร่วมกับ สธ. และองค์กรที่เกี่ยวข้อง พร้อมสนับสนุนในการตั้งทีมผ่าตัดอวัยวะ (Regional Harvest Team) ประจำทุกเขตสุขภาพ และจัดระบบการจัดสรรอวัยวะที่ได้รับบริจาคให้เป็นธรรมมากขึ้น รวมถึงเพิ่มค่าชดเชยค่าบริการให้หน่วยบริการเพื่อสร้างแรงจูงใจ
นอกจากนี้ ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายในระบบบัตรทองรายเก่าที่มีการจ่ายค่าบริการการฟอกเลือดด้วยตนเอง (Self-pay) และผู้ป่วยรายใหม่ที่ไม่เห็นด้วยกับการให้สิทธิ์ของคณะกรรมการไประดับเขต สามารถยื่นอุทธรณ์กับคณะกรรมการไประดับประเทศเพื่อขอเปลี่ยนวิธีการบำบัดทดแทนไตได้ด้วยเช่นกัน
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวเสริมว่า ในร่างแผนและมาตรการในประกาศสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่องการจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขกรณีบริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรังด้วยการบำบัดทดแทนไต พ.ศ. 2568 (ฉบับที่ 2) ได้มีการระบุถึงแผนและมาตรการการดำเนินการรองรับในการบำบัดทดแทนไตในระบบบัตรทองตามนโยบายดังกล่าว ทั้งกรณีการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม จะจ่ายค่าชดเชยให้ตามประกาศเดิม แต่จะให้ความสำคัญในการกำกับคุณภาพและมาตรฐานมากขึ้น
ส่วนการบำบัดทดแทนไตผ่านทางช่องท้องด้วยตนเองและด้วยเครื่องอัตโนมัติ จะสนับสนุนให้ผู้ป่วยรับบริการแบบล้างไตทางช่องท้องด้วยตนเอง (CAPD) เป็นหลัก ส่วนในรายที่มีข้อบ่งชี้ต้องใช้เครื่องล้างไตอัตโนมัติ (APD) ก็จะได้รับบริการผ่านเครื่อง APD และจะมีการพัฒนาศักยภาพของเครือข่ายของรัฐเพื่อให้บริการเชิงรุก และให้มีการตรวจติดตามผลการรักษา พร้อมปรับแผนการรักษาที่หน่วยบริการอย่างน้อย 3 เดือนต่อครั้ง อีกทั้งจะมีการจ่ายชดเชยค่าบริการให้หน่วยบริการตามผลลัพธ์การให้บริการ
ทั้งนี้ ในผู้ป่วยที่ต้องเข้าแผนรักษาแบบประคับประคอง จะให้ความสำคัญกับการขยายการรับรู้และเพิ่มสิทธิ์สำหรับผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่มีอายุมาก หรือมีโรคแทรกซ้อนสำคัญ และไม่เหมาะสมที่จะบำบัดทดแทนไตด้วยวิธีอื่น นอกจากนี้ จะมีการพัฒนาระบบบริการและบุคลากรที่ให้บริการ โดยบูรณาการกับระบบการบำบัดทดแทนไตทางช่องท้อง และเพิ่มค่าชดเชยให้หน่วยบริการที่มีการรักษากับผู้ป่วยด้วย
ด้าน พญ.กรทิพย์ ผลโภค เลขานุการ Service Plan การรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวว่า ปัจจุบันการขยายการรับบริจาคและการปลูกถ่ายอวัยวะของประเทศไทยกำลังมีทิศทางที่ดีขึ้น แต่ยังมีปัญหาและอุปสรรคสำคัญอยู่ 4 ประการ ได้แก่ 1.ความเข้าใจและทัศนคติของประชาชนต่อการบริจาคอวัยวะ 2.ระบบการรับบริจาคอวัยวะและการดูแลผู้บริจาคของโรงพยาบาลที่ยังขาดประสิทธิภาพ 3.ทีมจัดเก็บอวัยวะ (Regional Retrieval Team) ยังมีไม่เพียงพอ และ 4.ศักยภาพของศูนย์ปลูกถ่ายไตในสังกัด สธ. ที่ยังไม่สามารถรองรับการปลูกถ่ายไตได้
ดังนั้น สธ. จึงวางยุทธศาสตร์ 4 ข้อเพื่อสนับสนุนการปลูกถ่ายไต ได้แก่ 1.เพิ่มจำนวนผู้แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะ หรือผู้ถือ Donor Card โดยปัจจุบันมีอยู่ 2.8% ของประชากรทั้งหมด ซึ่ง สธ. ได้ตั้งเป้าหมายให้มีผู้ถือ Donor Card ให้ได้ 10% ของประชากรทั้งหมด 2.เพิ่มผู้บริจาคไตที่ยังมีชีวิต (Living donor) และที่มีภาวะสมองตาย (Deceased donor) จาก 526 รายในปีงบประมาณ 2568 เป็น 1,250 รายต่อปี ผ่านการดำเนินการต่าง ๆ เช่น ปรับระบบภายในของโรงพยาบาล 134 แห่งในสังกัด สธ. ให้มีระบบแจ้งเตือนผู้บริจาคอวัยวะที่มีภาวะสมองตาย (Donor Alert) พัฒนาพยาบาลผู้ประสานงานการปลูกถ่ายอวัยวะ (Transplant Coordinator Nurse) 3.เพิ่มศักยภาพและทีมผ่าตัดนำไตออก และ 4.เพิ่มการปลูกถ่ายไตทั้งผู้บริจาคที่มีภาวะสมองตายและผู้บริจาคไตที่ยังมีชีวิตอยู่ จากปัจจุบัน 1,200 รายต่อปี เป็น 3,000 รายต่อปี โดยจะมีการดำเนินการ เช่น การจัดตั้งศูนย์ปลูกถ่ายไตในทุกเขตสุขภาพ การยกระดับการดูแลผู้ป่วยทั้งก่อนและหลังเข้ารับการปลูกถ่ายไต การพัฒนาระบบการสร้างแรงจูงใจให้กับบุคลากร และการจัดตั้งสถาบันเฉพาะทางในระยะยาว เป็นต้น
ที่มา : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ




















