ทรงตรัสเอง ไม่ค่อยดีเลย สิ่งที่สื่อลงข่าว ความรัก-โหรทำนาย

หนังสือพิมพ์ชอบเอาไปพูดกันต่างๆ นานา หนังสือพิมพ์ต่างประเทศก็เหมือนกัน เอาไปลงผิดๆ พลาดๆ หลายอย่าง เช่นว่า โหรเคยทำนายไว้บ้าง และว่ารักกับในหลวงตั้งแต่แรกเห็นบ้าง อะไรต่างๆ ทำอย่างนี้ไม่ค่อยดีเลย
“...หนังสือพิมพ์ชอบเอาไปพูดกันต่างๆ นานา หนังสือพิมพ์ต่างประเทศก็เหมือนกัน เอาไปลงผิดๆ พลาดๆ หลายอย่าง เช่นว่า โหรเคยทำนายไว้บ้าง และว่ารักกับในหลวงตั้งแต่แรกเห็นบ้าง อะไรต่างๆ ทำอย่างนี้ไม่ค่อยดีเลย”
บทสัมภาษณ์ หม่อมราชวงศ์ สิริกิติ์ กิติยากร พระคู่หมั้นวัย ๑๘ ปี (เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๙๓)
โดย ชอุ่ม ปัญจพรรค์ บรรณาธิการหนังสือโฆษณาสาร
(ข้อความต่อไปนี้ทั้งหมดคัดลอกมาจากหนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นางชอุ่ม ปัญจพรรค์ แย้มงาม ท.ม., ต.ช.)
อยากชมบุญคุณหญิงสิริกิติ์อีกเหลือเกิน...
นี่เป็นความคิดส่วนตัวของข้าพเจ้าที่เกิดขึ้น ภายหลังได้เห็นโฉมเธออย่างใกล้ชิด เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ณ กระโจมพักหน้ากระทรวงการต่างประเทศ และความต้องการนั้นเองที่นำข้าพเจ้าพร้อมด้วยหนังสือโฆษณาสาร ๖ เล่ม กับเพื่อนร่วมกรมอีก ๓ คน ไปวังหม่อมเจ้านักขัตรมงคลฯ ด้านริมคลองเทวเวศน์ เวลาเกือบ ๑๐ นาฬิกาของวันที่ ๑ เมษายนนี้
ด้วยไม่รู้จักวังจึงนั่งรถเลยไปจนถึงหน้าบ้านพระยาอนิรุทธเทวา ได้ไต่ถามคนข้างทางว่าใช่หรือไม่ เขาชี้ประตูทาสีไข่ไก่ใหม่เอี่ยมให้และบอกว่าอยู่โน่น ข้าพเจ้ากับเพื่อนต้องย้อนกลับไป พอเห็นมีตำรวจยืนยามอยู่ ก็บอกกันว่าใช่แน่ ในที่สุดก็เข้าไปยืนอยู่ใต้ต้นมะม่วง ถามเจ้าหน้าที่ที่ยืนรักษาการณ์อยู่ว่า จะเข้าพบได้หรือไม่ เขาบอกให้เซ็นชื่อลงในสมุดเยี่ยม พร้อมทั้งความประสงค์
ข้าพเจ้าเขียนลงไปว่า มาจากหนังสือโฆษณาสาร ของกรมโฆษณาการ เซ็นชื่อกันทุกคนแล้วเจ้าหน้าที่ก็นำสมุดเข้าไปเสนอข้างในวัง
เมื่อข้าพเจ้าไปถึงนั้น ยังมีผู้จะเข้าไปพบคุณหญิงคอยอยู่ก่อนเรา ๒ หรือ ๓ คณะ ขณะยืนคอยอยู่อย่างใจเต้นตื่นนั้น ก็มีรถเก๋งสีดำคันใหญ่แล่นเข้าไปในวัง พวกเราใจหาย นึกว่าท่าจะไม่ได้พบคุณหญิงเสียแล้ววันนี้
ขณะนั้นผู้นำสมุดรายชื่อเพื่อขออนุญาตเข้าพบ ได้ออกมาบอกกับเราว่า “บางทีคุณหญิงอาจจะเข้าวัง ขอให้มาวันหลัง” พวกเราหน้าเสีย คิดว่าบุญไม่ถึงแน่ แต่ไหนๆ มาแล้วขอนั่งพักคอยชมตอนรถออกจากวังก็ยังดีละ
สักพักรถเก๋งคันนั้นก็เคลื่อนออกจากวัง แต่ไม่มีคุณหญิงและหม่อมแม่ออกไปด้วย พวกเราจึงดีใจ จะพยายามอ้อนวอนขอพบอีกครั้ง เพราะไหนๆ ก็ตั้งใจมาแล้ว และหนังสือ ๖ เล่มที่เตรียมไปก็ยังไม่ได้นำไปให้
ดังนั้นข้าพเจ้าก็เริ่มเขียนนามบัตร เขียนไปได้นิดหนึ่งก็ผิดความ นามบัตรนั้นใช้ไม่ได้ เอ ไม่ทราบจะทำประการใดดี มีทางเดียวกระดาษสีฟ้า ที่เตรียมไปจดคำสัมภาษณ์นั้น พอจะใช้เขียนจดหมายได้ กระนั้นก็ยังขาดซองอยู่ดี
ไม่มีทางอื่นจะดีกว่าแล้ว รู้อยู่ว่าเป็นการผิดมรรยาท ที่เขียนจดหมายไม่ใส่ซอง แต่จำเป็นจริงๆ จำต้องทำทั้งๆ รู้และก็ขออภัยกับคุณหญิงไปในจดหมายนั้นเอง
ข้าพเจ้าได้เขียนบอกความประสงค์แก่คุณหญิงสิริกิติ์ ว่าอยากจะมาขอเรื่องสั้นๆ ไปลงโฆษณาสาร เพื่อเป็นศรีและเป็นเกียรติแก่หนังสือ และประสงค์จะเรียนถามว่า หากทางหนังสือปรารถนาถ่ายภาพ คุณหญิงไปลงโฆษณาสารได้บ้าง จะกรุณาเปิดโอกาสให้ได้หรือไม่และเมื่อไร ในตอนท้ายข้าพเจ้าเติม ป.ล. ลงไปว่า
“คุณชนอ นิลประสิทธิ์” (ชวลี ช่วงวิทย์ ผู้ขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ “ยามเย็น” ของในหลวง) ได้มากับดิฉันด้วย พวกเราเสียใจมากที่ไม่ได้พบคุณหญิงครั้งนี้ แต่หวังว่าในโอกาสหน้า คุณหญิงจะกรุณาพวกเรานะคะ”
แล้วหนังสือโฆษณาสาร ๖ เล่ม พร้อมกับจดหมายนั้น ก็ได้เดินทางเข้าไปหาคุณหญิง เราสี่คน ชนอ นิลประสิทธิ์, ประดับ นิลประสิทธิ์, ยุบล ครุฑมงคล, และข้าพเจ้า ได้ช่วยกันภาวนาขอให้คุณหญิงใจอ่อน อนุญาตให้เราเข้าพบสักครั้งเถิด เราร้อนใจกันจนกระทั่งเจ้าหน้าที่ที่รักษาการณ์ เขาพลอยร้อนใจไปด้วย
ในที่สุดผู้ถือสาส์นของเราก็ออกมามือเปล่า พวกเราพนันกันว่าจะได้หรือไม่ สังเกตจนกระทั่งหน้าของผู้นำข่าวมาบอกกันว่าบึ้งหรือยิ้ม เผอิญเจ้าหน้าที่ผู้นั้น ก็หน้าเฉยเสียด้วย เดาไม่ออก ต้องรีบชิงคำถามกันว่า “ได้ไหมคะ สำเร็จไหม”
“ท่านถามว่าคนไหนชื่อ ชนอ อ้า แล้วเชิญเข้าไปได้” เราทั้งสี่คนยิ้มหน้าบาน เดินไปสู่วังทันที
เมื่อเข้าไปในห้องรับแขกแล้ว คุณหญิงกับหม่อมแม่ก็ลงมาจากชั้นบน เราทำความเคารพแล้วก็ยืนอยู่ คุณหญิงนุ่งถุงแบบป้ายสีข้างสีฟ้าน้ำทะเล เสื้อลายเหลี่ยมๆ สีเดียวกัน แขนสามส่วนคอปิด ตัดพอดีกับทรง แลเห็นโฉมอันได้ส่วนสัดสมหญิง คุณหญิงและหม่อมแม่เชิญเรานั่ง พวกเราไปกันมาก ดังนั้น คุณหญิงกับหม่อมแม่ จึงนั่งบนโซฟาถัดออกไปจากเก้าอี้หมู่
ข้าพเจ้าเริ่มอารัมภบท ชี้ไปยังชนอ “คนนี้ชื่อ ชนอค่ะ นามแฝงว่า ชวลี ช่วงวิทย์ ที่ร้องเพลงพระราชนิพนธ์ “ยามเย็น” ของในหลวง ดิฉันเป็นผู้แทนหนังสือโฆษณาสารของกรมโฆษณาการ อยากจะมาเรียนขอเรื่องสั้นๆ จากคุณหญิงสักเรื่องหนึ่งค่ะ เพื่อเป็นเกียรติแก่หนังสือ”
หม่อมแม่กล่าวขึ้นว่า “น่ากลัวจะลำบาก ถ้าขอให้เขียนเรื่อง เพราะไม่มีเวลาจริงๆ คุณอยากทราบอะไรก็ถามดีกว่า”
ข้าพเจ้า “และถ้าจะเรียนขออนุญาตถ่ายภาพไปลงหนังสือโฆษณาสาร เช่น กำลังเล่นเปียโน กำลังอ่านหนังสือโฆษณาสาร กำลังจัดดอกไม้ ฯลฯ อะไรอย่างนี้น่ะค่ะ จะอนุญาตไหมคะ”
คุณหญิงก้มศีรษะรับอย่างน่าเอ็นดู ทั้งสง่างามและน่ารักปนกัน
หม่อมแม่เอ่ยขึ้นว่า “ทำไมไม่มาพร้อมกันวันนี้ล่ะคะ โอกาสหน้าจะอาจจะหายาก เวลานี้กำลังว่างดีทีเดียว”
ข้าพเจ้า “ดิฉันไม่กล้า จนกว่าจะได้รับอนุญาตค่ะ”
คุณหญิง “ได้ค่ะ”
ข้าพเจ้า “ดิฉันอยากทราบความรู้สึกของคุณหญิงในการกลับถึงประเทศไทยครั้งนี้ค่ะ รู้สึกอย่างไรบ้างคะ”
คุณหญิงพูดด้วยสำเนียงอันน่าฟังยิ่งนัก กิริยานุ่มนวลมีเสน่ห์ จะพูดจะจาน่าพึงพิศทุกอิริยาบถ “รู้สึกดีใจมากที่ได้กลับมาบ้านเมืองของเรา และรู้สึกแปลกไปค่ะ เช่น บ้านนี้เมื่อก่อนไปยังเป็นเด็กเห็นว่าใหญ่โตมาก กลับมาคราวนี้ดูเล็กลง”
ข้าพเจ้า “ได้ทราบจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่า คุณหญิงนิยมการแต่งกายแบบไทยมาก จริงไหมคะ”
คุณหญิง “ใช่ค่ะ แต่ชอบเวลาอยู่เมืองไทย เพราะในเมืองนอกแต่งแล้วรุ่มร่ามไม่เหมาะ”
ข้าพเจ้า “เป็นโชคดีเหลือเกิน ที่หญิงไทยได้คุณหญิงเป็นผู้นำและมีความคิดประเสริฐอย่างนี้ เพราะเวลานี้ต่างก็ละเลยเรื่องนี้กันเสียเกือบหมด จะได้เป็นแบบอย่างของหญิงไทยต่อๆ ไป”
หม่อมแม่ “การแต่งกายไทยที่ว่านี่ หมายถึง นุ่งซิ่นไหมใส่เสื้อธรรมดานะคะ ส่วนการนุ่งยกห่มตาดอะไรเหล่านั้นก็ใช้ในงานพิธีใหญ่ๆ"
ข้าพเจ้านิ่งด้วยความปลื้มปีติคิดถึงเรื่อง “หญิงไทยควรแต่งกายแบบไทยไว้” ที่ข้าพเจ้าเคยเขียนออกทั้งบรรยายทางวิทยุ และลงพิมพ์ในโฆษณาสาร ฉบับปฐมฤกษ์ซึ่งมีจุดหมายละม้ายคล้ายกันที่สุด
ข้าพเจ้า “ในหลวงจะเสด็จฯ ต่างประเทศครั้งหลังนี้ ทราบไหมคะว่า จะประทับนานสักเท่าใดจึงจะเสด็จนิวัตสู่ประเทศไทย”
หม่อมแม่ “ในราวปีเศษเป็นอย่างเร็วค่ะ เพราะท่านต้องทรงพักรักษาองค์อีก จนกว่าจะหาย ซึ่งกะว่าอยู่ในราวปีเศษ”
ข้าพเจ้า “สำเร็จการศึกษาหรือยังคะ”
หม่อมแม่ “คุณหญิงหรือคะ เรียน Finishing Course นี่คะ จะออกเมื่อใดก็ได้ แต่การเรียนนั้น คุณก็รู้อยู่แล้วว่าไม่มีที่สิ้นสุด คนแก่ๆ เขาก็ยังเรียนกันได้”
ข้าพเจ้า “ในหลวงเล่าคะ ต้องทรงศึกษาอีกนานเท่าใดจึงจะสำเร็จคะ”
คุณหญิง “หมอห้ามใช้สมองค่ะ ทรงศึกษาต่อไม่ได้ ที่มาครั้งนี้หมอก็ห้ามเพราะยังไม่ปกติ แต่จำเป็นจึงอนุญาต ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ให้เดินทาง ทางเครื่องบิน เพราะเกรงจะโดนอากาศเปลี่ยนแปลงเร็ว พระอาการจะกำเริบ”
ข้าพเจ้า “ในหลวงพระทัยร้อนไหมคะ”
คุณหญิง “ตามธรรมดาพระอารมณ์ดีค่ะ เวลาไม่ทรงสบายก็เป็นบ้างนิดหน่อย”
ข้าพเจ้า “รู้สึกว่าพระนิสัยเด็ดขาดนะคะ”
คุณหญิง “โปรดการเป็นระเบียบค่ะ เช่นเวลานัด ถ้าพลาดเวลาเพียงนิดเดียวเป็นกริ้ว”
หม่อมแม่ “ก็ทรงได้รับการอบรมในต่างประเทศนี่คะ จึงติดนิสัยฝรั่ง แล้วเป็นธรรมดาที่จะให้ผู้ใหญ่ต้องคอยผู้น้อยนั้นไม่ควร ถือเป็นการดูถูก ฉะนั้น จึงไม่โปรดการผิดเวลา”
ข้าพเจ้า “คุณหญิงชอบดนตรีประเภทไหนคะ Classic หรือ Symphony หรือ Light Music”
คุณหญิง “Classic ค่ะ เช่น ของโชแปง บีโธเวน และลิทซ์ และเพลงสากลเพราะๆ “
ข้าพเจ้า “คุณหญิงชอบเพลงพระราชนิพนธ์ของในหลวงเพลงไหนมากที่สุดคะ”
คุณหญิง “ชอบเพลงยามเย็นค่ะ ชอบมากที่สุด เมื่ออยู่สวิสเคยขอประทานฟังบ่อยๆ นอกจากนั้นก็เพลง Blue Day หนังสือพิมพ์เอาไปลงว่าชอบ ชะตาชีวิต มากที่สุด ความจริงไม่เคยได้พูดสักคำ”
ยุบล “ดิฉันได้ทราบจากหนังสือพิมพ์ว่า คุณหญิงชอบเล่นเพลงบิบ้อพมากจริงไหมคะ”
คุณหญิงทำตาโตน่ารัก “เพลงบิบ้อพอะไรคะไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้ยินเลยแหละค่ะ หนังสือพิมพ์ชอบเอาไปพูดกันต่างๆ นานา หนังสือพิมพ์ต่างประเทศก็เหมือนกัน เอาไปลงผิดๆ พลาดๆ หลายอย่าง เช่นว่า โหรเคยทำนายไว้บ้าง และว่ารักกับในหลวงตั้งแต่แรกเห็นบ้าง อะไรต่างๆ ทำอย่างนี้ไม่ค่อยดีเลย”
ข้าพเจ้า “ในหลวงทรงโปรดดนตรีอะไรมากคะ นอกจากแซ็กโซโฟน”
คุณหญิง “คาริแนทค่ะโปรดมากที่สุด เปียโนก็โปรดเหมือนกัน”
ชนอ “เมื่อครั้งที่วงดนตรีกรมโฆษณาการไปเล่นในวัง ครั้งในหลวงรัชกาลที่ ๘ ยังทรงพระชนม์นั้นน่ะค่ะ ในหลวงท่านโปรดให้ติดไมโครโฟนที่เปียโนด้วย อีกอันหนึ่ง ส่วนเพลงนั้น เคยจะเล่นส่งวิทยุกระจายเสียง แต่ติดขัดที่เนื้อเป็นฝรั่งไม่ตรงตามระเบียบ จึงเล่นไมได้ค่ะ”
คุณหญิงยิ้ม นัยน์ตาแจ่มจรัสเหมือนดาวรุ่ง อาจจะเป็นดวงเนตรดำขำเหมือนนิล และแจ่มดังดาวฉะนี้เอง ที่มีเสน่ห์ ตรึงพระหฤทัย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของชาวไทยไว้สนิท
ข้าพเจ้า “ตามธรรมดาวันที่ ๑๕ ของทุกเดือน โฆษณาสารมีรายการสนทนาเพลงรายการทางวิทยุกระจายเสียงร่วมกับวงดนตรีกรมโฆษณาการ ดิฉันพยายามขอร้องวงดนตรีให้บรรเลงเพลง “ยามเย็น“ ให้คุณหญิงเป็นพิเศษค่ะ แต่ต้องเป็นวันที่ ๑๕ พฤษภา ส่วนเดือนนี้ติดงานวันแม่ ไม่มีการบรรเลง“
คุณหญิงยิ้ม “ดิฉันจะคอยฟัง วันที่ ๑๕ พฤษภา หรือคะ” แล้วหันไปบอกหม่อมแม่ให้ช่วยจำ
ข้าพเจ้า “คุณหญิงชอบเด็กผู้หญิงหรือเด็กผู้ชายคะ“
คุณหญิง “ชอบเท่าๆ กัน“
ข้าพเจ้า “เพลงที่ในหลวงทรงพระราชนิพนธ์ใหม่ที่สุดชื่ออะไรคะ“
คุณหญิง “เข้าใจว่าเป็นเพลง Dream of Love, Dream of You”
ข้าพเจ้า “คุณหญิงจะพักอยู่ในเมืองไทยนานสักเท่าใดคะ“
คุณหญิง “กะว่านานจนถึงเดือนมิถุนายน“
ข้าพเจ้า “ประทานโทษเถิดค่ะ ดิฉันอยากทราบมาว่า คุณหญิงจะแต่งชุดสีฟ้าในวันอภิเษกจริงไหมคะหรือว่าเป็นข่าวลือคะ“
คุณหญิง “ยังไม่แน่เหมือนกัน แต่ชุดที่โหรให้ฤกษ์เวลารับน้ำสังข์นั้นชุดสีงาช้าง วันนั้นมีหลายตอนนี่คะ ตั้งใจว่าจะแต่งชุดสีน้ำเงินอ่อนสักชุดหนึ่ง“
ข้าพเจ้า “คุณหญิงเกิดวันศุกร์หรือคะ ถึงชอบสีฟ้า“
คุณหญิง “ถูกแล้ว“
ข้าพเจ้า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประทานแหวนเพชรหรือมรกตแก่คุณหญิงคะ เขาลือกันว่าเป็นแหวนมรกต“
คุณหญิง “ถ้าคุณหมายถึงแหวนหมั้นก็เป็นแหวนเพชรไม่ใช่มรกต”
ข้าพเจ้าเห็นว่าควรแก่เวลาที่จะกลับ เพราะรบกวนคุณหญิงมากแล้ว ทั้งข้อความที่ตั้งใจไปถามก็หมดแล้วจะคิดคำถามอีกก็ไม่ทัน จึงกล่าวขอบพระคุณ แล้วแถมพูดตามใจนึกด้วยว่า
“ความจริงยังไม่อยากกลับเลยค่ะ อยากนั่งอยู่นานๆ แต่รบกวนเวลาคุณหญิงมามากแล้ว วันนี้ขอลากลับละค่ะ ดิฉันขอบพระคุณคุณหญิงมากที่กรุณาให้พบ“
แล้วพวกเราก็ลาจากมาทั้งๆ ที่ใจไม่อยากจาก กลางวันนั้นข่าวปลาพาลทานไม่ลงเพราะอิ่มใจ คุณหญิงไม่ใช่สวยอย่างนางสาวไทย แต่ทรงไว้ซึ่งความสง่าและมีเสน่ห์ เมื่อได้เห็นโฉมอย่างใกล้ชิดแล้ว ทำให้ข้าพเจ้าหวลคิดถึง พระลักษมีของพระนารายณ์นั้นแท้ทีเดียว
• หม่อมราชวงศ์ สิริกิติ์ กิติยากร เข้าพิธีราชาภิเษกสมรสกับ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓
ขอบคุณที่มาจาก Subhatra Bhumiprabhas

เปิดวันหยุดปีใหม่ 2569 ได้หยุดยาวเพิ่มอีก 1 วัน เช็กเลย

"แกงหอง" พระกระยาหารทรงโปรดตำรับโบราณ ในสมเด็จพระพันปีหลวง

เตรียมรับมือ! กรมอุตุฯ เตือนอากาศแปรปรวนทั่วไทย 29 ต.ค.–2 พ.ย. นี้

เปิดโพสต์พี่สาว ถึง"สารวัตรมัน"พร้อมแจ้งกำหนดพิธีศพ
















