ฟังจากปาก กัน จอมพลัง หลังโดนจี้ความสัมพันธ์แท้จริงกับ ธรรมนัส

ยังคงเป็นประเด็นร้อนในแวดวงการเมือง ภายหลัง นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “กัน จอมพลัง” ตั้งโต๊ะแถลงข่าวชี้แจงเรื่องความโปร่งใสของ มูลนิธิกันจอมพลังช่วยสู้ ที่โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น โดยมีสื่อมวลชนและบุคคลทางการเมืองร่วมงานจำนวนมาก รวมถึง สส.ไอซ์ รักชนก ศรีนอก ที่เดินทางมาร่วมรับฟังด้วย
 

 

ในระหว่างการแถลง สส.ไอซ์ ได้ตั้งคำถามสำคัญถึง ความสัมพันธ์ระหว่างกัน จอมพลังกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า โดยกล่าวว่า

“ทำไมถึงโกหกออกอากาศว่าไม่สนิท ทั้งที่ที่ผ่านมาเห็นชัดว่ามีความใกล้ชิด ได้รับการสนับสนุนซึ่งกันและกัน ทั้งในกระทรวงเกษตรและบนเวทีพรรคกล้าธรรม ทำไมต้องเบี่ยงประเด็นและพูดเพียงว่าสนิทเหมือนนักการเมืองทั่วไป?”

กัน จอมพลัง ตอบว่า

“ผมก็สนิทครับ แต่เป็นความสนิทในแบบของคนทำงานช่วยเหลือสังคม ไม่ได้มีผลประโยชน์ทางการเมือง ถ้าคนไหนตั้งใจช่วยประชาชน ผมก็พร้อมสนิทด้วย ไม่ได้เลือกฝ่ายหรือพรรคใดเป็นพิเศษ”

อย่างไรก็ตาม สส.ไอซ์ยังคงตั้งข้อสงสัยต่อไปว่า
“คุณกันอย่าดูถูกประชาชน ทุกคนเห็นว่าความสัมพันธ์กับคุณธรรมนัสมีความพิเศษ ไม่ใช่แค่รู้จักกันทั่วไป เงินที่โอนเข้ามาในมูลนิธิ จะเป็นเครื่องมือทางการเมืองของพรรคกล้าธรรมหรือของคุณธรรมนัสหรือไม่ ทำไมไม่พูดตรง ๆ ว่าสนิทกว่าคนอื่น”
 

กัน จอมพลัง ยืนยันอีกครั้งว่า
“ผมสนิทกับพี่ธรรมนัสจริง แต่ไม่ได้เป็นเครื่องมือทางการเมืองให้ใครแน่นอน ผมช่วยงานสังคมด้วยความตั้งใจ ไม่ได้มีใครอยู่เบื้องหลัง”

นอกจากนี้ สส.ไอซ์ยังกล่าวถึงพฤติกรรมของกัน จอมพลังในหลายกรณี โดยระบุว่า บางครั้งกัน จอมพลังเลือกตั้งคำถามหรือวิพากษ์วิจารณ์บุคคลทางการเมืองในลักษณะที่คล้ายการโจมตีทางการเมือง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า

“สุดท้ายแล้วความนิยมของคุณกันอาจถูกนำไปใช้สนับสนุนพรรคหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง โดยเฉพาะคุณธรรมนัส”

ด้านกัน จอมพลังชี้แจงเพิ่มเติมว่า ตนไม่เคยปฏิเสธความสนิทกับ ร.อ.ธรรมนัส แต่ยืนยันว่าเป็นเพียงความสัมพันธ์ส่วนบุคคล ไม่ใช่สายการเมือง พร้อมระบุว่า

“ถ้าผมจะเอาความนิยมไปต่อยอดทางการเมืองจริง ป่านนี้คงลงสมัครไปแล้ว แต่ผมเลือกช่วยประชาชนก่อน”

ท้ายที่สุด กัน จอมพลังกล่าวปิดท้ายว่า จะรับฟังคำวิจารณ์จากทุกฝ่าย พร้อมยืนยันว่าจะปรับการทำงานของมูลนิธิให้โปร่งใสยิ่งขึ้น รวมถึงพร้อมยกทรัพย์สินให้หากจำเป็นต้องยุติมูลนิธิ เพื่อไม่ให้ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือทางการเมืองอีกต่อไป