"กสทช. เตรียมชง “เน็ตคนละครึ่ง” 160 บาท ได้เน็ตแรง 40GB"

สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เตรียมเสนอ โครงการ “เน็ตคนละครึ่ง” เข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 28 ตุลาคมนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกว่า 14 ล้านราย ให้สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ในราคาย่อมเยา


รายละเอียดโครงการ “เน็ตคนละครึ่ง”

ตามแผนที่ กสทช. หารือกับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ (โอเปอเรเตอร์) โครงการนี้จะคิดค่าบริการเพียง 160 บาทต่อเดือน (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ได้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 40GB ต่อเดือน ใช้งานได้ต่อเนื่อง นาน 3 รอบบิล

นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการเลขาธิการ กสทช. เปิดเผยว่า เดิมเอกชนเสนอราคาที่ 199 บาทต่อเดือน แต่ กสทช. ยืนยันให้ลดลงเหลือ 160 บาท เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด โดยงบสนับสนุนจะมาจาก กองทุน กทปส. (กองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง โทรทัศน์ และโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ)

แก้ปัญหาเครื่อง 2G ไม่รองรับเน็ต

แม้โครงการนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่าย แต่ยังมีอุปสรรคคือผู้ถือบัตรสวัสดิการบางส่วนยังใช้โทรศัพท์ ระบบ 2G ซึ่งไม่รองรับอินเทอร์เน็ต ทาง กสทช. จึงเตรียมหารือกับผู้ให้บริการเพื่อหามาตรการ เปลี่ยนหรืออัปเกรดมือถือเป็น 4G หรือ 5G พร้อมเดินหน้าตามแผนยกเลิกเครือข่าย 2G และ 3G


เดินหน้า “แพ็กเกจธงฟ้า” ราคาถูกลง

นอกจาก “เน็ตคนละครึ่ง” แล้ว กสทช. ยังพิจารณาปรับโครงสร้างค่าบริการโทรศัพท์มือถือที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2563 โดยเฉพาะ “แพ็กเกจธงฟ้า” ที่เคยกำหนดไม่เกิน 240 บาทต่อเดือน คาดว่าจะปรับราคาลงให้เหมาะกับพฤติกรรมผู้ใช้ปัจจุบัน เพื่อเป็น “ของขวัญปีใหม่” ให้ประชาชน

นายไตรรัตน์ระบุว่า การคำนวณอัตราใหม่อ้างอิงจากรายรับเฉลี่ยต่อเลขหมายต่อเดือนของผู้ใช้บริการ ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนได้ ค่าบริการถูกลงสำหรับบริการพื้นฐาน เช่น การโทรและใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง

ย้ำเพิ่มการแข่งขัน ลดภาระประชาชน

กสทช. มั่นใจว่าการปรับโครงสร้างค่าบริการและโครงการ “เน็ตคนละครึ่ง” จะช่วยสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม และเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคโดยตรง ทั้งยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในยุคที่อินเทอร์เน็ตกลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน

ขั้นตอนต่อไป สำนักงาน กสทช. จะเสนอโครงการและมาตรการทั้งหมดต่อ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ก่อนเข้าสู่การพิจารณาของ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 28 ตุลาคมนี้

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ