งานเข้า "เอ๋ ปารีณา" โดนคุกไม่รอลงอาญา ศาลชี้ผิดคดีรุกป่าราชบุรี

งานเข้า "เอ๋ ปารีณา ไกรคุปต์" ศาลชี้ผิดคดีรุกป่าราชบุรี สั่งจำคุก 4 ปี 1 เดือน ไม่รอลงอาญา ทนายเร่งยื่นขอประกันตัว
วันที่ 6 ตุลาคม 2568 นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.) เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ศาลจังหวัดราชบุรีมีคำพิพากษาให้จำคุก นางสาวปารีณา ไกรคุปต์ เป็นเวลา 4 ปี 1 เดือน โดย ไม่รอการลงอาญา ในคดีบุกรุกและครอบครองพื้นที่ป่าไม้ ตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ซึ่งขณะนี้ทนายความกำลังเร่งดำเนินการยื่นขอประกันตัว
คดีดังกล่าวมีจุดเริ่มต้นเมื่อปี 2562 เมื่อนายวีระ สมความคิด นำหลักฐานเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรจอมบึง เพื่อดำเนินคดีกับนางสาวปารีณา และเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง หลังตรวจสอบพบการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้และที่ดิน ส.ป.ก. รวมกว่า 1,706 ไร่ ในพื้นที่ตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง
สำหรับคดีนี้ถูกจับตาอย่างมากในสังคม เนื่องจากเป็นหนึ่งในกรณีสำคัญที่สะท้อนปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน และการใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐโดยมิชอบ ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาลงโทษจำคุกโดยไม่รอลงอาญาในที่สุด
ทั้งนี้ ภายหลังอ่านคำพิพากษาจำเลยยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอประกันตัว ศาลพิจารณาเเล้วอนุญาตให้ประกันตัว โดยกำหนดหลักประกัน 1 ล้านบาท
- เปิดคำพิพากษาฉบับเต็ม
6 ตุลาคม 2568 ที่ศาลจังหวัดราชบุรี ศาลอ่านคำพิพากษา ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ สวอ1/2567 ที่พนักงานอัยการจังหวัดราชบุรี ยื่นฟ้อง บริษัท ปารีณา ไกรคุปต์ จำกัด โดย นางสาวปารีณา ไกรคุปต์ กรรมการ จำเลยที่ 1 เเละ นางสาวปารีณา ไกรคุปต์ อดีต สส.ราชบุรี จำเลยที่ 2 ข้อหา พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ร.บ.ป่าไม้ ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ร.บ.น้ำบาดาล
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างปี 2555 - วันที่ 24พ.ย. 2562 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองร่วมกันบุกรุกเข้าไปบริเวณป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี(ป่าเขาสน) ในท้องที่หมู่ที่ 6 ตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ แล้วจำเลยทั้งสองร่วมกันก่อสร้าง แผ้วถางป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 4 แปลง แปลงที่ 1เนื้อที่ 387 ไร่ 80 ตารางวา แปลงที่ 2เนื้อที่ 207 ไร่ 2 งาน 41 ตารางวา แปลงที่ 3 เนื้อที่ 70 ไร่ 2 งาน 32 ตารางวา แปลงที่ 4 เนื้อที่ 15 ไร่ 3งาน 84 ตารางวา รวมที่ดิน 4 แปลง เนื้อที่ 681 ไร่ 1 งาน 37 ตารางวา
จำเลยทั้งสองร่วมกันยึดถือครอบครองทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่ถูกแผ้วถางแล้วดังกล่าว เพื่อประโยชน์ของจำเลยทั้งสองหรือผู้อื่น โดยจำเลยทั้งสองร่วมกันตัด ฟัน ทำลายต้นไม้และปลูกสร้างโรงเรือนเลี้ยงไก่ ปลูกสร้างบ้านพัก ปักเสาไฟฟ้า สร้างถังบรรจุอาหารสัตว์ สร้างแท็งก์น้ำ และขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล อันเป็นการยึดถือครอบครองทำประโยชน์ อยู่อาศัย ก่อสร้าง แผ้วถาง หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าวเป็นเนื้อที่เกิน 25ไร่ และเป็นเหตุให้สภาพที่ดิน ที่กรวด หรือที่ทราย ในบริเวณป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี (ป่าเขาสน) ซึ่งเป็นที่ดินของรัฐและอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าวได้รับความเสียหายพังใช้การไม่ได้
โดยจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำเป็นเนื้อที่เกินกว่า 50 ไร่ และไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือได้รับยกเว้นใดๆ ตามกฎหมายให้กระทำการดังกล่าวได้ ทั้งมิได้กระทำภายในเขตที่ได้จำแนกไว้เป็นประเภทเกษตรกรรม ที่รัฐมนตรีได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำด้วยประการใดๆ โดยมิชอบด้วยกฎหมายอันเป็นการทำลาย หรือเป็นเหตุให้เกิดการทำลาย หรือทำให้สูญหาย หรือเสียหาย แก่ทรัพยากรธรรมชาติในเขตป่าสงวนแห่งชาติ คิดเป็นค่าเสียหายของรัฐ รวม 35,369,459 บาท
จำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย นอกจากนี้ เมื่อระหว่างเดือน พ.ย. - 2 ธ.ค. 2562 จำเลยทั้งสองร่วมกันประกอบกิจการน้ำบาดาล โดยการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลและใช้น้ำบาดาลบริเวณป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี (ป่าเขาสน) ในท้องที่หมู่ที่ 6 ตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและอยู่ในเขตน้ำบาดาล จำนวน 6 บ่อ แต่ละบ่อมีความลึกจากผิวดินลงไปเกินกว่า 15 เมตร โดยนำน้ำบาดาลมาใช้ในการประกอบกิจการฟาร์มไก่ของจำเลยทั้งสอง ทั้งนี้ โดยจำเลยทั้งสองไม่ได้รับใบอนุญาตครอบครองในที่ดิน อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เหตุเกิดที่ตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี
ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสอง เเละขอให้จำเลย คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยทั้งสองออกจากป่าสงวนแห่งชาติที่จำเลยทั้งสองยึดถือครอบครองอยู่ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง หรือนำสิ่งใดๆ อันก่อให้เกิดการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ ออกจากป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุภายในระยะเวลาตามที่ศาลกำหนด พร้อมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง อุดหรือกลบหลุมบ่อน้ำบาดาลกับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่กรมป่าไม้เป็นเงิน 35,369,459 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพข้อหาร่วมกันประกอบกิจการน้ำบาดาลในเขตน้ำบาดาลโดยไม่ได้รับอนุญาต
ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ และให้การในคดีส่วนแพ่งว่า ที่ดินพิพาท มีการแผ้วถางทำประโยชน์มาตั้งแต่ก่อนที่จำเลยทั้งสองจะเข้ายึดถือครอบครอง จำเลยทั้งสองมิได้เป็นผู้บุกรุก แผ้วถาง หรือก่อสร้าง ทำลายทรัพยากรในเขตป่าสงวนแห่งชาติและที่ดินที่เกิดเหตุอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ซึ่งกรมป่าไม้ส่งมอบที่ดินที่เกิดเหตุให้แก่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมแล้ว ที่ดินที่เกิดเหตุจึงถูกเพิกถอนการเป็นป่าสงวนแห่งชาติแล้ว จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่กรมป่าไม้ ขอให้ยกคำขอส่วนแพ่ง
วันนี้จำเลยเดินทางมาศาล
ศาลพิเคราะห์เข้อเท็จจริงได้ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันยึดถือครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุทั้ง 4 แปลง แต่ในส่วนที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันก่อสร้าง แผ้วถาง หรือกระทำด้วยประการใดอันเป็นการทำลายป่าฯ ในบริเวณที่ดินที่เกิดเหตุนั้น ทางนำสืบของโจทก์ปรากฏข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของ นายวัลลภ บังเกิดผล ผู้เชี่ยวชาญศาลด้านวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศและแผนที่ว่า ที่ดินที่เกิดเหตุมีบุคคลเข้าครอบครองทำประโยชน์ ก่อสร้างฯ ก่อนที่จำเลยทั้งสองจะเข้ายึดถือครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุ
โดยพยานได้ตรวจสอบวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศบริเวณที่ดินที่เกิดเหตุเริ่มมีบุคคลเข้าอยู่อาศัยเป็นหมู่บ้านตั้งแต่ปี 2510 ในปี 2545 ถึง 2546 พื้นที่ดังกล่าวมีการใช้ทำการเกษตรปลูกไม้ยืนต้น เลี้ยงไก่ และทำอ่างเก็บน้ำ รวมร้อยละ 90 ของพื้นที่ คงเหลือพื้นที่ป่าร้อยละ 10 ของพื้นที่ ในปี 2563 พื้นที่ดังกล่าวมีการใช้ทำการเกษตร ปลูกไม้ยืนต้น เลี้ยงไก่ และทำอ่างเก็บน้ำ รวมร้อยละ 96 ของพื้นที่ คงเหลือพื้นที่ป่าร้อยละ 4 ของพื้นที่
ที่ดินที่เกิดเหตุแปลงที่ 2 เริ่มมีบุคคลเข้าอยู่อาศัยเป็นหมู่บ้านตั้งแต่ปี 2510 คิดเป็นร้อยละ 20 ของพื้นที่ ในปี 2545 ถึง 2546 พื้นที่ดังกล่าวมีการใช้ทำการเกษตรปลูกไม้ยืนต้น และทำอ่างเก็บน้ำเต็มพื้นที่ ในปี 2563 พื้นที่ดังกล่าวมีการใช้ทำการเกษตร เลี้ยงไก่ และทำอ่างเก็บน้ำเต็มพื้นที่ ที่ดินที่เกิดเหตุแปลงที่ 3 ยังคงมีสภาพเป็นป่าไม้เต็มพื้นที่ และคำเบิกความพันตำรวจโทประดิษ ชาวพงษ์ พนักงานสอบสวนว่า ที่ดินที่เกิดเหตุแปลงที่ 3 เป็นป่ายูคาลิปตัส
ส่วนที่ดินที่เกิดเหตุแปลงที่ 4 ในปี 2517 ถึง 2546 พื้นที่ดังกล่าวมีการปลูกไม้ยืนต้นเต็มพื้นที่ ยังไม่ปรากฏสิ่งปลูกสร้างโรงเลี้ยงไก่ เพิ่งปรากฏสิ่งปลูกสร้างเป็นโรงเลี้ยงไก่ ในภาพถ่ายทางอากาศปี 2563 สภาพที่ดินที่เกิดเหตุตามผลวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าที่ดินพิพาทมีบุคคลเข้าครอบครองทำประโยชน์ ก่อสร้าง แผ้วถาง มาก่อนที่จำเลยทั้งสองจะเข้าครอบครอง และโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าโรงเลี้ยงไก่บริเวณดังกล่าวปลูกสร้างมาตั้งแต่เมื่อใด บุคคลใดเป็นผู้สร้าง ประกอบกับนายจาฏุพัจน์ พรหมมินทร์ อดีตนายกองค์การบริหารส่วนตำบลรางบัว และนายเสรี ท่าแก้ม พยานโจทก์ เบิกความในทำนองเดียวกันว่า เดิมที่ดินที่เกิดเหตุนายทวี ไกรคุปต์ บิดาของจำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ ทำไร่สับปะรด ไร่อ้อย ไร่มันสำปะหลัง ปลูกต้นยูคาลิปตัสสร้างโรงเลี้ยงไก่ และประกอบกิจการฟาร์มเลี้ยงสัตว์
และในปี 2540 ที่ดินที่พิพาทมิได้มีสภาพเป็นป่า หรือพื้นที่ควรอนุรักษ์ไว้ให้ชุมชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน จึงมิได้มีการกันที่ดินที่เกิดเหตุคืนให้แก่กรมป่าไม้ ตามทำบันทึกข้อตกลงร่วมกันระหว่างกรมป่าไม้กับสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เพื่อดำเนินการตรวจสอบกันพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติบางส่วนที่ไม่สมควรนำไปปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมกลับคืนให้แก่กรมป่าไม้ แต่ที่ดินที่เกิดเหตุเป็นป่าเสื่อมโทรมที่มีบุคคลบุกรุกเข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์อยู่ก่อนแล้ว จึงเป็นที่ดินที่รัฐมีความประสงค์ที่จะนำมาจัดสรรให้แก่เกษตรกร ยิ่งกว่าต้องการสงวนหรืออนุรักษ์ที่ดินที่เกิดเหตุไว้อย่างที่ดินที่มีสภาพเป็นป่าไม้ แสดงให้เห็นว่าที่ดินที่เกิดเหตุมีบุคคลอื่นเคยบุกรุกเข้าไปครอบครองทำประโยชน์มานานแล้ว และมีการตัดโค่นทำลายต้นไม้และก่อสร้างโรงเรือนเลี้ยงไก่ ก่อสร้างบ้านพัก มาก่อนที่การครอบครองจะตกทอดมาถึงจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองมิใช่ผู้ที่เข้าไปบุกรุกเข้าไปก่อสร้าง แผ้วถาง และก่นสร้างป่าตั้งแต่เริ่มแรก จำเลยทั้งสองเพียงแต่เข้ามายึดถือครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุต่อจากนายทวี บิดาของจำเลยที่ 2 เท่านั้น ทางนำสืบของโจทก์จึงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันก่อสร้าง แผ้วถาง ก่นสร้าง หรือกระทำด้วยประการใดอันเป็นการทำลายป่า และยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองทำด้วยประการใดให้เป็นการทำลาย หรือทำให้เสื่อมสภาพที่ดิน ที่หิน ที่กรวด หรือที่ทราย ในบริเวณที่ดินที่เกิดเหตุ ตามมาตรา 9 (2) แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
นอกจากนี้ ที่ดินที่ที่เกิดเหตุเป็นที่ดินของรัฐที่อยู่ในความดูแลและรับผิดชอบของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม สำหรับนำไปปฏิรูปที่ดินให้แก่เกษตรกรรายหนึ่งรายใดที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กำหนด ไม่ปรากฏว่าเป็นบริเวณที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ อีกทั้ง โจทก์มิได้ บรรยายฟ้องว่าที่ดินที่เกิดเหตุเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน หรือที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ อันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 108 ทวิ วรรคสอง และวรรคสาม จึงไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวได้
ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์รับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองยึดถือครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นป่าโดยนิยามตามมาตรา 4 (1) แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 เพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นเนื้อที่เกินยี่สิบห้าไร่ และยึดถือครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุซึ่งเป็นที่ดินของรัฐโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนที่จำเลยทั้งสองให้การและนำสืบต่อสู้ว่า ที่ดินที่เกิดเหตุไม่มีสภาพเป็นป่า จำเลยทั้งสองเพียงแต่ครอบครองที่ดินต่อจากนายทวี บิดาของจำเลยที่ 2 นั้น
เห็นว่า แม้ที่ดินที่เกิดเหตุมิได้เป็นป่าโดยสภาพ เนื่องจากมีบุคคลเข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์ก่อน แผ้วถาง และก่นสร้างป่า ก่อนที่จำเลยทั้งสองจะเข้าครอบครองมาเป็นระยะเวลานานแล้ว และไม่เคยมีเจ้าหน้าที่รัฐโต้แย้งการที่มีบุคคลเข้ายึดถือครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุ และไม่เคยมีหน่วยงานราชการใดแจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบว่าที่ดินที่เกิดเหตุเป็นป่า จำเลยที่ 2 จึงไม่ทราบว่าการครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุเป็นความผิดก็ตาม แต่จำเลยทั้งสองย่อมทราบดีว่าที่ดินที่เกิดเหตุยังเป็นที่ดินที่ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของหรือได้สิทธิใดๆ ตามกฎหมายที่ดิน เนื่องจากจำเลยที่ 2 เพียงแต่เป็นผู้มีชื่อครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุในแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อชำระภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท. 5) รวม 29 แปลง
ประกอบกับในช่วงที่จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่ง สส. จำเลยที่ 2 ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. ว่าเป็นผู้ครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุตามแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อชำระภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท. 5) รวม 29 แปลง ซึ่งแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อชำระภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท. 5) มิใช่เอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน และมิใช่ใบอนุญาตให้ครอบครองที่ป่าหรือที่ดินของรัฐ
ดังนั้น จำเลยที่ 2 และในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจย่อมทราบดีว่าที่ดินที่เกิดเหตุทั้ง 4 แปลง เป็นที่ดินที่ยังไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของหรือได้สิทธิใดๆ ตามกฎหมายที่ดิน ที่ดินพิพาทจึงยังคงเป็นป่า ตามนิยามของกฎหมายที่บัญญัติ แห่ง พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ การที่จำเลยทั้งสองยึดถือครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุทั้ง 4 แปลง จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันยึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเอง หรือผู้อื่นเป็นเนื้อที่เกิน 25 ไร่ โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ตามพรบ.ป่าไม้ฯและฐานร่วมกันยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามประมวลกฎหมายที่ดิน และจำเลยทั้งสอง คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยทั้งสองต้องออกจากที่ดินที่เกิดเหตุ ส่วนที่โจทก์มีคำขอให้จำเลยทั้งสอง คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยทั้งสองออกจากป่าที่เกิดเหตุภายในระยะเวลาตามที่ศาลกำหนดนั้น พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ มาตรา 72 ตรี วรรคสาม และประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิ วรรค4
ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้กระทำผิด คนงาน ผู้แทน และบริวารของผู้กระทำความผิดออกไปจากที่ดินนั้น แต่ไม่ได้ให้ศาลมีอำนาจกำหนดระยะเวลาดังเช่นที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ ฯมาตรา 31 วรรคท้าย
ดังนั้น ผู้กระทำผิด คนงาน ผู้แทน และบริวารของผู้กระทำความผิดต้องออกจากป่าและที่ดินของรัฐที่เกิดเหตุทันทีนับแต่มีคำพิพากษา โดยศาลไม่จำต้องกำหนดระยะเวลาให้ออกตามที่โจทก์ขอ
พิพากษาว่า จำเลยทั้ง2 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ มาตรา 54 วรรคหนึ่ง, 72 ตรี วรรคสอง, ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 (1), 108 ทวิ วรรคหนึ่ง พ.ร.บ.น้ำบาดาลฯ มาตรา16 วรรคหนึ่ง, 36 ทวิ วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันยึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นเป็นเนื้อที่เกิน 25 ไร่ โดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานร่วมกันยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันยึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นเป็นเนื้อที่เกิน 25ไร่ โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 1เเสนบาท และจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 8 ปี ฐานร่วมกันประกอบกิจการน้ำบาดาลในเขตน้ำบาดาลโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 20,000 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพฐานร่วมกันประกอบกิจการน้ำบาดาลในเขตน้ำบาดาลโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และทางนำสืบของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กระทงละกึ่งหนึ่ง
ฐานร่วมกันยึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นเป็นเนื้อที่เกินยี่สิบห้าไร่โดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 50,000 บาท และคงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี ฐานร่วมกันประกอบกิจการน้ำบาดาล ในเขตน้ำบาดาลโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 10,000 บาท และคงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 เดือน รวมปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 60,000 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี 1 เดือน ให้จำเลยทั้งสอง คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยทั้งสองออกจากป่าและที่ดินของรัฐที่เกิดเหตุ ให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่เกี่ยวกับการประกอบกิจการ น้ำบาดาล อุดและกลบหลุมบ่อน้ำบาดาล
ขอบคุณ Veera Somkwamkid

เปิดดวง 2 ราศี ดวงในช่วงนี้ดีขึ้นหลายเรื่อง มีคำแนะนำด้วย

ไทยตอนบนอุณหภูมิสูงขึ้น 1-3 องศา มีหมอกยามเช้า–ฝุ่น PM.เพิ่มขึ้น

กทม.ขอความร่วมมือ WFH หลังค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานกว่า 35 เขต

เตือนด่วน! น้ำทะเลหนุนสูงเสี่ยงล้นเจ้าพระยา 4–12 ธ.ค. นี้
















