ยอดผู้เสียชีวิตเหตุประท้วงเนปาล ล่าสุดเหตุสงบได้เพราะสิ่งนี้

กระทรวงสาธารณสุขเนปาลปรับเพิ่มยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุประท้วงต่อต้านการระงับโซเชียลมีเดียที่ลุกลามกลายเป็นความรุนแรงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็น 72 ราย เมื่อวันที่ 14 กันยายน ขณะที่ทีมค้นหาเก็บกู้ร่างผู้เสียชีวิตจากสำนักงานรัฐบาล บ้านเรือน และอาคารอื่น ๆ ที่ถูกเผาในระหว่างการประท้วง

 

 

ปรากาช บูดาโธกี โฆษกกระทรวงสาธารณสุขเนปาล ระบุว่าพบศพจำนวนมากในห้างสรรพสินค้า บ้านเรือน และอาคารอื่น ๆ ที่ถูกทำลาย โดยยอดผู้เสียชีวิตก่อนหน้านี้ที่ประกาศเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2568 อยู่ที่ 51 ราย ขณะที่ข้อมูลล่าสุดมีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 2,113 ราย

 

เหตุการณ์นี้ถือเป็นความรุนแรงทางการเมืองที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดในรอบหลายทศวรรษของเนปาล โดยชาวเนปาลส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวออกมาเดินขบวนบนท้องถนนในกรุงกาฐมาณฑุและเมืองอื่น ๆ ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา จนทำให้นาย เค.พี. ชาร์มา โอลี นายกรัฐมนตรีต้องลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 9 กันยายน

 

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางเพื่อสลายผู้ชุมนุม แต่บางส่วนได้เผาทำลายอาคารรัฐ รวมถึงศาลฎีกา รัฐสภา ป้อมตำรวจ บ้านเรือนของนักการเมือง และธุรกิจเอกชน

 

ต่อมา สุศิลา คาร์กี อดีตประธานศาลฎีกา สาบานตนรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีชั่วคราวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 14 กันยายน เธอได้รับมอบหมายให้จัดการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาใหม่ในวันที่ 5 มีนาคม 2026 และประกาศว่าจะดำรงตำแหน่งไม่เกิน 6 เดือน พร้อมจ่ายเงินชดเชย 1 ล้านรูปี (ราว 2.25 แสนบาท) ให้ครอบครัวผู้เสียชีวิต และให้การรักษาพยาบาลฟรีแก่ผู้บาดเจ็บ
 

 

คาร์กีกล่าวว่าการตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งเกิดจาก “เสียงของประชาชนบนท้องถนน” และย้ำว่าจะทำงานตามแนวคิดและความต้องการของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Generation Z ซึ่งเป็นกำลังหลักในการเคลื่อนไหวครั้งนี้ เป้าหมายสำคัญคือ การยุติการทุจริต การปกครองที่โปร่งใส และความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ

 

ความท้าทายที่รอรัฐบาลชั่วคราว ได้แก่ การฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยในประเทศ ซ่อมแซมรัฐสภาและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่เสียหาย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและผู้ชุมนุมว่าประเทศจะก้าวไปสู่การเลือกตั้งใหม่อย่างโปร่งใสและรักษาระบอบประชาธิปไตยที่เปราะบางของเนปาลได้

 

คาร์กียังกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ดิฉันรู้สึกละอาย หากผู้ที่ทำลายโครงสร้างเหล่านี้เป็นชาวเนปาลเอง จะเรียกพวกเขาว่าเป็นชาวเนปาลได้อย่างไร” พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลจะร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงฟื้นฟูอาคารและความเชื่อมั่นให้กลับคืนสู่ประชาชน