ประวัติ "อนุทิน ชาญวีรกูล" 13 กันยายนนี้ เตรียมฉลองวันเกิด

ประวัติ "เสี่ยหนู อนุทิน ชาญวีรกูล" หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย วันที่ 13 กันยายนนี้ เตรียมฉลองครบรอบวันคล้ายวันเกิด
นายอนุทิน ชาญวีรกูล หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เสี่ยหนู” กลายเป็นหนึ่งในนักการเมืองที่ถูกจับตามองมากที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากเขากำลังถูกคาดการณ์ว่าจะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย ซึ่งเส้นทางการเมืองของเขาไม่ได้ธรรมดาเลยทีเดียว
- ประวัติส่วนตัวและเส้นทางธุรกิจ
อนุทิน ชาญวีรกูล เกิดเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2509 ปัจจุบันอายุ 58 ปี และกำลังจะก้าวเข้าสู่วัย 59 ปีเต็มในเดือนนี้ เขาเป็นบุตรชายของ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอนุทินจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนอัสสัมชัญ และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Hoftra สหรัฐอเมริกาในปี 2532
ก่อนจะเข้าสู่วงการการเมือง เขาเคยทำงานเป็นวิศวกรในบริษัทเอกชนหลายแห่ง รวมถึงการดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการที่ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวและเป็นนายทุนให้กับพรรคการเมืองหลายพรรค
- บทบาททางการเมืองและผลงานสำคัญ
นายอนุทินเริ่มต้นเข้าสู่วงการการเมืองในปี 2539 โดยรับตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก่อนจะได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ในปี 2547
หลังจากถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปีในฐานะกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เขาก็กลับเข้าสู่วงการอีกครั้งและได้รับเลือกเป็น หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในปี 2555 และเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในปี 2562 และ 2566
ในปี 2562 เขาได้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยมีบทบาทสำคัญในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และผลักดันนโยบายกัญชาทางการแพทย์ จากนั้นจึงได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้ชื่อของนายอนุทินถูกจับตามองอย่างมากในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เนื่องจากได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ส. จำนวนมาก รวมถึงได้รับการสนับสนุนจาก พรรคประชาชน ที่มีมติโหวตให้เขาขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32
ถึงแม้ว่าเส้นทางสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรียังไม่แน่นอน แต่การที่เขาได้รับเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตถึง 3 ครั้ง ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนถึงศักยภาพและบทบาทสำคัญของเขาบนเวทีการเมืองไทย