ทำไมขากลับถึงรู้สึกเร็วกว่าขาไป อธิบายจาก Returning Trip Effect

เคยรู้สึกไหมว่าขากลับใช้เวลาน้อยกว่าขาไป? นี่คือผลของ Returning Trip Effect ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่ทำให้สมองรับรู้เวลาแตกต่างจากความจริง
เคยสงสัยไหมว่า...ทำไมเวลาเดินทางกลับบ้านหรือกลับจากทริปสนุกๆ เรามักรู้สึกว่า ขากลับเร็วกว่าขาไป ทั้งที่ใช้เส้นทางเดิมและเวลาที่ใกล้เคียงกัน?
ความรู้สึกนี้ไม่ได้เป็นแค่เรื่องคิดไปเอง แต่มาจากปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่เรียกว่า “Returning Trip Effect” ซึ่งหมายถึง ความรู้สึกว่าการเดินทางขากลับใช้เวลาน้อยกว่า แม้จะเดินทางในระยะทางและเวลาเท่าเดิมกับขาไป
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่า ปรากฏการณ์นี้เกิดจากอะไรบ้าง และทำไมสมองของเราจึงเล่นตลกกับเวลาได้ขนาดนี้
1. ความคุ้นเคยของเส้นทาง: สมองใช้พลังน้อยลง
- ขาไป: สมองต้องรับข้อมูลใหม่จำนวนมาก เช่น เส้นทาง แผนที่ สภาพแวดล้อม คนแปลกหน้า ซึ่งทำให้รู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้ากว่าปกติ
- ขากลับ: เมื่อทุกอย่างเริ่มคุ้นเคยแล้ว สมองจะเข้าสู่ “โหมดอัตโนมัติ” หรือ Auto-Pilot Mode ไม่ต้องคิดหรือจดจำมาก ทำให้รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วขึ้น
2. ความคาดหวังส่งผลต่อการรับรู้เวลา
- ขาไป: มีความคาดหวังสูง เช่น อยากถึงเร็วๆ อยากเจออะไรใหม่ๆ ทำให้เฝ้าดูเวลาและระยะทางอย่างใกล้ชิด
- ขากลับ: จุดหมายคือ “บ้าน” หรือสถานที่คุ้นเคย จึงไม่ตื่นเต้นและไม่เฝ้ารอมากนัก ส่งผลให้รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วขึ้น
3. ความเหนื่อยล้าทางร่างกายและจิตใจ
- เมื่อเราเดินทางมานานหรือใช้แรงในกิจกรรมต่างๆ สมองจะเริ่มอ่อนล้า การประมวลผลข้อมูลช้าลง ทำให้เราไม่รู้สึกว่าเวลาผ่านไปมากเท่าไร
- สิ่งนี้คือหนึ่งในกลไกของ Returning Trip Effect ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน
Returning Trip Effect คืออะไร?
ปรากฏการณ์นี้ถูกศึกษาโดยนักจิตวิทยา พบว่า ผู้คนมักรู้สึกว่า "การเดินทางกลับ" สั้นกว่า "การเดินทางไป" ทั้งที่จริงๆ แล้วใช้เวลาเท่ากัน การรับรู้เวลานี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับ การประมวลผลของสมอง โดยไม่ขึ้นอยู่กับเวลาจริง
เวลาไม่ได้เร็วขึ้น แต่สมองเราคิดแบบนั้น
ไม่ว่าคุณจะขับรถ เดินทางไกล หรือไปเที่ยวต่างจังหวัด ความรู้สึกว่า “ขากลับเร็วกว่าขาไป” ไม่ได้หลอกคุณ แต่คือผลของ Returning Trip Effect ที่ทำให้สมองรับรู้เวลาแตกต่างกันในแต่ละสถานการณ์