ถอดปลั๊กประหยัดไฟจริงไหม เช็กก่อนพลาด เสี่ยงค่าไฟแพงกว่าเดิม

ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าช่วยประหยัดไฟได้จริงไหม? คำถามนี้หลายคนสงสัย และมีคนจำนวนไม่น้อยที่ชอบ ถอดปลั๊กทีวี คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องปรับอากาศ ทันทีหลังเลิกใช้งาน เพราะคิดว่าจะช่วยลดค่าไฟได้ แต่ความจริงแล้ว การถอดปลั๊กแบบไม่รู้วิธี อาจทำให้เครื่องพัง หรือค่าไฟเพิ่มขึ้นแบบไม่รู้ตัว!

วันนี้เราสรุปข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญและผลสำรวจจากญี่ปุ่นมาให้ครบ ว่า เครื่องใช้ชนิดไหนควรถอดปลั๊ก เครื่องไหนไม่จำเป็น พร้อม วิธีถอดปลั๊กอย่างถูกต้อง ปลอดภัย และคุ้มค่าที่สุด

 

เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ควรถอดปลั๊ก
1.ทีวี
หากปิดรีโมตเฉย ๆ เครื่องจะเข้าสู่โหมดสแตนด์บาย ซึ่งยังคงกินไฟต่อเนื่อง ควรถอดปลั๊กหรือปิดสวิตช์พ่วงทันทีเมื่อไม่ใช้งาน

 

2.คอมพิวเตอร์
ถ้าปิดเครื่องแล้วยังเสียบปลั๊กไว้ จะยังมีไฟเลี้ยงระบบบางส่วน ควรถอดปลั๊กออก หรือปิดสวิตช์พ่วง เพื่อประหยัดไฟและป้องกันไฟกระชาก

 

3.เครื่องปรับอากาศ
ในช่วงฤดูหนาวหรือช่วงไม่ใช้งาน ควรถอดปลั๊กออก แต่ถ้าจะกลับมาใช้งาน ควรเสียบทิ้งไว้ 4–8 ชั่วโมงก่อนเปิดเครื่อง เพื่อไม่ให้ระบบเสียหาย

เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ควรถอดปลั๊กบ่อย
1.ตู้เย็น
จำเป็นต้องเปิดต่อเนื่องตลอดเวลาเพื่อรักษาอุณหภูมิ หากถอดปลั๊กบ่อย ๆ จะทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักและสิ้นเปลืองไฟมากกว่าเดิม

 

2.เราเตอร์/โมเด็ม (Wi-Fi)
ถอดปลั๊กจะทำให้หลุดสัญญาณอินเทอร์เน็ตทันที หากจำเป็นต้องปิด ควรปิดเฉพาะช่วงออกจากบ้านนาน ๆ

 

3.ไมโครเวฟ
ถึงจะเสียบปลั๊กไว้ แต่ไม่มีโหมดสแตนด์บาย ไม่กินไฟเพิ่มเติม จึงไม่จำเป็นต้องถอดปลั๊ก

เครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟจากโหมดสแตนด์บายมากที่สุด
จากข้อมูลสำรวจในญี่ปุ่น พบว่าเครื่องใช้ไฟฟ้า 4 อันดับที่กินไฟแม้ปิดเครื่องแล้ว ได้แก่
- เครื่องทำน้ำอุ่นแก๊ส : 19%
- ทีวี : 10%
- เครื่องปรับอากาศ : 8%
- โทรศัพท์บ้าน : 8%

สรุปวิธีถอดปลั๊กอย่างปลอดภัย
- ใช้ปลั๊กพ่วงที่มีสวิตช์ปิด-เปิด
- ถอดปลั๊กอย่างเบามือ ไม่กระชาก
- อย่าถอด-เสียบบ่อยเกินไป โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีระบบคอมเพรสเซอร์

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การถอดปลั๊กผิดวิธี หรือถอดบ่อย ๆ จะทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าเสื่อมเร็ว ซ่อมบ่อย และค่าไฟไม่ลดอย่างที่คิด ทางที่ดี ควรเลือกถอดปลั๊กเฉพาะเครื่องที่จำเป็น และใช้สวิตช์พ่วงเป็นตัวช่วย จะปลอดภัยและคุ้มค่ากว่า