ป้าตัวเหลืองทั้งที่ไม่ดื่มเหล้า แต่สิ่งที่กินตลอด 2 เดือน ทำหมอปวดหัว

ป้าวัย 60 ป่วยตับอักเสบรุนแรง ตัวเหลือง - ตับแข็งเหมือนหิน หมอรู้ว่าดื่มอะไรมาตลอด 2 เดือน แม้ไม่ใช่เหล้า แต่ถึงกับปวดหัว
โรงพยาบาลโรคเขตร้อนส่วนกลาง (Bệnh Nhiệt đới Trung ương) ของประเทศเวียดนาม รายงานเหตุผู้ป่วยหญิงวัย 60 ปี จากจังหวัดบั๊กนินห์ เข้ารับการรักษาในภาวะวิกฤต ตับอักเสบรุนแรงจากตับแข็งระยะสุดท้าย หลังดื่มน้ำต้มสมุนไพรต่อเนื่องเป็นเวลานาน 2 เดือน เพื่อหวังรักษาไวรัสตับอักเสบบีด้วยตนเอง
ก่อนหน้านี้ เธอเริ่มมีอาการตัวเหลืองผิดปกติ และได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นไวรัสตับอักเสบบีชนิดรุนแรง แพทย์ได้แนะนำให้เข้าสู่กระบวนการรักษาทางการแพทย์ แต่เธอกลับหันไปพึ่งการแพทย์ทางเลือก โดยดื่มน้ำสมุนไพรตามคำแนะนำของคนรู้จักที่เชื่อว่าจะช่วยบำรุงตับได้
อย่างไรก็ตาม หลังดื่มต่อเนื่อง อาการกลับทรุดหนัก มีภาวะอ่อนเพลียอย่างรุนแรง หน้าท้องบวม ตัวและตาเหลืองเข้มจนต้องรีบเข้ารับการรักษา โดยผลตรวจพบว่าตับของเธอแข็งตัวรุนแรงถึงขั้น “เหมือนหิน” แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นตับแข็งระยะสุดท้าย มีภาวะท้องมาน และตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสบี หากไม่ปลูกถ่ายตับโดยด่วน มีความเสี่ยงเสียชีวิตสูง
นพ.เหงียน วัน ตวน (Nguyễn Văn Tuấn) รองหัวหน้าภาควิชาโรคตับของโรงพยาบาลฯ เปิดเผยว่า “ผู้ป่วยมีภาวะตับแข็งระยะสุดท้าย ค่าเลือดแข็งตัว (PT) ต่ำเพียง 21% ระดับบิลิรูบินรวมสูงกว่า 600 ซึ่งถือว่าอันตรายอย่างมาก หากไม่ได้รับการปลูกถ่ายตับทันที”
นอกจากกรณีดังกล่าว คุณหมอยังเปิดเผยอีกหนึ่งตัวอย่าง คือ ชายวัย 43 ปี จากเมืองไฮฟอง ที่เข้ารับการตรวจสุขภาพหลังมีอาการปวดขา และพบว่าเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โดยไม่เคยรู้ตัวมาก่อน การตรวจพบแสดงค่าการทำงานของตับและปริมาณไวรัสสูงกว่าปกติถึง 5 เท่า พร้อมภาวะท่อน้ำดีอุดตัน และจากการตรวจ MRI ยังพบก้อนเนื้องอกขนาด 30x26 มม. ที่บริเวณตับ
กรณีเหล่านี้สะท้อนถึงอันตรายของการละเลยการตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบี เนื่องจากโรคนี้มักไม่แสดงอาการในระยะแรก และหากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับได้
นพ.เหงียน วัน ตวน จึงแนะนำว่า การตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบีปีละครั้ง เป็นวิธีง่าย ประหยัด และมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคร้ายแรง “ไวรัสตับอักเสบบีสามารถควบคุมและรักษาได้ หากตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติโรคตับในครอบครัว ควรตรวจสุขภาพเป็นประจำ”
ทั้งนี้ แม้ว่าสมุนไพรอย่าง “ต้นอานซัว” จะถูกกล่าวขานว่าสามารถบำรุงตับ แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าสามารถรักษาหรือกำจัดไวรัสตับอักเสบบีได้ ผู้ติดเชื้อจึงไม่ควรเลือกวิธีทางเลือกโดยปราศจากคำแนะนำจากแพทย์ และควรติดตามอาการอย่างใกล้ชิดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
การหลีกเลี่ยงการใช้สมุนไพรอย่างไม่มีข้อมูล และตรวจสุขภาพตับอย่างสม่ำเสมอ คือกุญแจสำคัญในการป้องกันภาวะร้ายแรงจากไวรัสตับอักเสบบี
ข้อมูลจาก soha