ไข้หูดับ หรือ ไข้หมูดิบ กลับมาระบาดพบผู้ป่วย 89 ราย เสียชีวิต 5 ราย

โรคไข้หูดับ คือ ภาวะติดเชื้อแบคทีเรีย โดยผู้ป่วยจะมีอาการไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัว เกิดภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และติดเชื้อในกระแสเลือด
วันนี้ 21 มิ.ย. 68 นายแพทย์ทวีชัย วิษณุโยธิน ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 นครราชสีมา กล่าวถึง "โรคไข้หมูดิบ" หรือเดิมชื่อ "โรคไข้หูดับ" ว่าเป็นการตั้งชื่อโรคใหม่ให้สอดคล้องกับสาเหตุเกิดโรค เพื่อให้ประชาชนตระหนักว่า โรคนี้มีหมูเป็นพาหะนำโรค
โรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) อยู่ในทางเดินหายใจของหมูและเลือดของหมูที่กำลังป่วย สามารถติดต่อได้ 2 ทาง คือ 1. ทางการบริโภคเนื้อและเลือดหมูที่ปรุงแบบดิบ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ 2. ทางการสัมผัสกับหมูที่ติดเชื้อทั้งเนื้อหมู เครื่องใน และเลือดหมูที่เป็นโรค โดยเชื้อจะเข้าทางบาดแผล รอยขีดข่วนตามร่างกายหรือทางเยื่อบุตา หรือการสัมผัสเลือดของหมูที่กำลังป่วย ซึ่งหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 1-14 วัน ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ปวดศีรษะอย่างรุนแรง เวียนศีรษะจนทรงตัวไม่ได้ อาเจียน คอแข็ง
ซึ่งสถานการณ์ของโรคไข้หมูดิบ ในเขตสุขภาพที่ 9 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 19 มิ.ย. 68 พบผู้ป่วย จำนวน 89 ราย และมีผู้เสียชีวิตสะสมแล้ว 5 ศพ เมื่อแยกเป็นรายจังหวัด พบว่า จังหวัดนครราชสีมา มีผู้ป่วยมากสุด 47 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 1.80 ต่อประชากรแสนคน และมีผู้เสียชีวิตถึง 3 ศพแล้ว
รองลงมาคือ จังหวัดชัยภูมิ มีผู้ป่วย 17 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 1.59 ต่อประชากรแสนคน, จังหวัดสุรินทร์ มีผู้ป่วย 13 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 0.96 ต่อประชากรแสนคน และจังหวัดบุรีรัมย์ มีผู้ป่วย 12 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 0.77 ต่อประชากรแสนคน มีผู้เสียชีวิต 2 ราย โดยกลุ่มอายุที่ป่วยสูงสุด คือ กลุ่มอายุ 65 ปี ขึ้นไป รองลงมาคือ กลุ่มอายุ 55-64 ปี และกลุ่มอายุ 45-54 ปี ตามลำดับ
ซึ่งยังมีประชาชนกินหมูดิบ หรือหมูที่สุก ๆ ดิบ ๆ แล้วป่วยและตายจากโรคไข้หมูดิบ หรือไข้หูดับอยู่เรื่อย ๆ และนอกจากหมูดิบแล้ว ยังมีอาหารอื่น ๆ ที่กินแล้วเสี่ยงตายไม่แพ้กัน เช่น ลาบเลือดดิบ ก้อยดิบ แหนมหมูดิบ ซึ่งนอกจากผู้ที่กินหมูดิบจะเสี่ยงติดเชื้อแล้ว พ่อครัว แม่ครัว และผู้ปรุงอาหารที่มีบาดแผลแล้วไปสัมผัสเนื้อหมูหรือเลือดหมูดิบ ๆ ที่มีเชื้อก็เสี่ยงติดเชื้อโรคไข้หมูดิบได้เช่นกัน
ดังนั้น ขอย้ำเตือนประชาชน อย่ากินหมูดิบ หรือกินหมูที่บีบมะนาวเพราะเชื่อผิด ๆ ว่าทำให้หมูสุก ส่วนอาหารปิ้งย่าง ควรแยกอุปกรณ์คีบหมูดิบและหมูสุกออกจากกัน เพราะหากติดเชื้อโรคไข้หมูดิบ อาจทำให้สูญเสียการได้ยิน หรือที่เรียกว่า "หูดับ" จนถึงขั้นหูหนวกถาวร ซึ่งในรายที่มีภูมิต้านทานต่ำหรือมีโรคประจำตัว อาจเสียชีวิตได้
ดังนั้นควรป้องกันตนเองดังนี้
1. รับประทานเนื้อหมู หรือเลือดหมูที่ปรุงสุกเท่านั้น ผ่านความร้อนอย่างน้อย 60-70 องศาเซลเซียส ในเวลา 10 นาที
2. อาหารปิ้งย่าง ควรใช้อุปกรณ์ในการคีบเนื้อหมูดิบและเนื้อหมูสุกแยกจากกัน และขอให้ยึดหลัก “สุก ร้อน สะอาด”
3. ไม่ควรรับประทานหมูดิบร่วมกับการดื่มสุรา
4. เลือกซื้อเนื้อหมูจากแหล่งที่มีมาตรฐาน เชื่อถือได้ ไม่ควรซื้อจากแหล่งที่ไม่ทราบที่มาของหมู ไม่ซื้อเนื้อหมูที่มีกลิ่นคาว สีคล้ำ
5. ไม่สัมผัสเนื้อหมูและเลือดดิบด้วยมือเปล่า โดยเฉพาะผู้เลี้ยงหมู ผู้ที่ทำงานในโรงฆ่าสัตว์ ผู้ที่ชำแหละเนื้อหมู สัตวบาล สัตวแพทย์ ขณะทำงานควรสวมรองเท้าบูทยาง และสวมถุงมือ หากมีบาดแผลต้องปิดแผลให้มิดชิด และล้างมือหลังสัมผัสหมูทุกครั้ง
6. หากมีอาการป่วย สงสัยโรคไข้หูดับโดยมีไข้สูง ปวดศีรษะ ร่วมกับประวัติเสี่ยง ขอให้รีบไปพบแพทย์ทันที แจ้งประวัติการกินหมูดิบและสัมผัสเนื้อหมูดิบให้ทราบ หากมาพบแพทย์และวินิจฉัยได้เร็ว ได้รับยาปฏิชีวนะเร็ว จะช่วยลดอัตราการเกิดหูหนวกและการเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงที่หากติดเชื้อจะมีอาการป่วยรุนแรงเนื่องจากร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่ำ ได้แก่ ผู้ติดสุราเรื้อรัง ผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคมะเร็ง โรคหัวใจ หรือผู้ที่เคยตัดม้ามออก เป็นต้น
ภาวะหูดับจากโรคไข้หูดับ จัดเป็นภาวะที่สมควรได้รับการวินิจฉัยได้โดยเร็ว เนื่องจากสมองที่ไม่ได้รับการกระตุ้นจากเสียง จะเสียความสามารถในการรับฟังไปเรื่อย ๆ ยิ่งนานวัน โอกาสฟื้นฟูก็จะยิ่งลดลงทำให้โอกาสความสำเร็จหลังการผ่าตัดลดลง และอีกปัจจัยที่สำคัญมากคือ ภาวะไข้หูดับ มีโอกาสที่จะเกิดการตีบตันของท่อนำเสียงในกระดูกก้นหอยสูงมาก จึงควรพิจารณาการรักษาอย่างเร็วไว เพราะหากท่อนำเสียงในกระดูกก้นหอยตีบตันไปแล้ว การผ่าตัดใส่ประสาทหูเทียมแบบมาตรฐานก็จะไม่สามารถทำได้เลย
สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422.