บอร์ดแพทยสภายืนกราน ตัดสินด้วย "ข้อเท็จจริงทางการแพทย์" เท่านั้น

บอร์ดแพทยสภาย้ำ ตัดสินคดีตาม "ข้อเท็จจริงทางการแพทย์" เท่านั้น - ยึดเวชระเบียน-ผลตรวจ-ไต่สวน ย้ำอนุกรรมการแค่ให้ความเห็น
"แพทยสภา" ผู้พิทักษ์ "มาตรฐานวิชาชีพ-จริยธรรม" ในคดีการแพทย์ เหตุใดการตัดสินใจจึงต้องมาจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง หลัง แพทยสภายัน ตัดสินตาม ข้อเท็จจริงทางการแพทย์ รศ.(พิเศษ) นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ กรรมการแพทยสภา โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เรื่อง ลึกแต่ไม่ลับ (๒) ใจความว่า การประกอบวิชาชีพเวชกรรม จะมีความรับผิดตามกฎหมายมาเกี่ยวข้องสามประเด็น คือ ความรับผิดทางอาญา ความรับผิดทางแพ่ง และความรับผิดทางจริยธรรม ความรับผิดทางอาญาและแพ่ง อำนาจอยู่ที่ท่านอัยการ และท่านผู้พิพากษา
แพทยสภา มีหน้าที่ความรับผิดชอบในประเด็นเรื่อง "มาตรฐานวิชาชีพ" และ "ความรับผิดทางจริยธรรม" โดยตรง
คดีนี้ทำให้เห็นชัดว่า "ทำไมคดีทางการแพทย์ จึงควรต้องทำคำตัดสินโดย แพทยสภา" หลายเรื่องทางการแพทย์เป็นประเด็นที่เกินกว่าจะใช้ดุลพินิจของวิญญูชนทั่วไปมาทำคำตัดสิน
คดีนี้ทำให้คนทั่วไปเข้าใจขั้นตอนการทำงานของกระบวนวิธีพิจารณาคดีของแพทยสภาได้มากที่สุด ทำให้ประชาชนทั่วประเทศเข้าใจว่า "ทำไมถึงต้องให้เวลากับกระบวนวิธีพิจารณาคดีของแพทยสภา(ที่เป็นระบบไต่สวน)อย่างเหมาะสม" เพราะข้อบังคับว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีจริยธรรม บังคับให้องค์คณะต้องเปิดโอกาสให้สองฝ่ายนำเสนอหลักฐานอย่างเต็มที่ และองค์คณะมีอำนาจสืบค้นข้อเท็จจริงด้วยตนเอง ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีทนาย (ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีความรู้ความสามารถเรื่องทางการแพทย์มากเท่าองค์คณะ)เข้ามาวุ่นวายในกระบวนการนี้
แพทยสภาใช้ระบบไต่สวน
พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม น่าจะเป็นกฎหมายฉบับแรก ๆ (หรืออาจจะแรกสุด) ที่ใช้"ระบบไต่สวน" ในการค้นหาความจริงและทำคำตัดสิน
องค์คณะผู้ไต่สวน คือ อนุจริยธรรม และ อนุสอบสวน ทำงานร่วมกับ องค์คณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสุด ๆ ของราชวิทยาลัยทางการแพทย์หลายแห่ง
เปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายนำเสนอพยานหลักฐานเต็มที่ แต่ในขณะเดียวกัน องค์คณะเองก็มีความรู้เรื่องราวในประเด็นทางการแพทย์อย่างดีมากและน่าจะสูงกว่าคู่ความทั้งสองฝ่าย จึงมีความสามารถในตัวเองที่จะทำความจริงให้ปรากฎโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพยานหลักฐานของคู่ความเพียงอย่างเดียว ไม่จำเป็นต้องให้ทนายความหรือคนนอกมานำเสนอ
วิธีนี้จะช่วยอุดช่องว่างในด้านข้อมูลข่าวสารที่อาจเป็นการพ้นวิสัยที่คู่ความฝั่งใดฝั่งหนึ่งจะหามานำเสนอด้วยตนเอง หรือคู่ความฝั่งใดฝั่งหนึ่งเจตนาปกปิดไม่นำเสนอ
ปัจจุบัน มีกฎหมายหลายอย่างที่ใช้ "ระบบไต่สวน" แทน "ระบบกล่าวหา" เช่น กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร กฎหมายเกี่ยวกับคดีเด็กและเยาวชน กฎหมายแรงงาน แต่ระบบไต่สวนของแพทยสภา น่าจะเป็นระบบไต่สวนที่แน่นหนาและมีกระบวนวิธีพิจารณาคดีที่รัดกุมมากที่สุด เพราะเรื่องทางการแพทย์เกี่ยวพันกับความปลอดภัยในชีวิตของคนทั้งประเทศ
คดีนี้ทำให้เห็นว่า กรรมการแพทยสภา ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้งหรือแต่งตั้ง ล้วนตระหนักในหน้าที่ของตนเองดี ที่ผ่านมาอย่าว่าแต่คนนอกเลย แม้แต่แพทย์ด้วยกันก็ยังตั้งคำถามแรง ๆ ใส่กรรมการแพทยสภาและคณะทำงาน แต่ผู้เกี่ยวข้องยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานตามหน้าที่เพื่อสืบหาข้อเท็จจริงไปตามขั้นตอนปกติ
ตัดสินใจบน "ข้อเท็จจริงทางการแพทย์"
มติของคณะกรรมการแพทยสภาที่เป็นผู้ออกคำสั่งหรือคำตัดสินคดีจริยธรรมหรือมาตรฐานวิชาชีพ มีที่มาจากเอกสารที่วางอยู่ตรงหน้า "เท่านั้น" ดังนั้น กรรมการแพทยสภาทุกคนจะไม่สามารถปักธงไว้ล่วงหน้า จนกว่าจะได้ศึกษาสำนวนและคำสรุปของอนุกรรมการทุกชุดจนถ่องแท้ ก่อนทำการVoteลงมติ
หรือแม้จะมีธง แต่เมื่อมีเอกสารหลักฐานเวชระเบียนผลภาพรังสีต่างๆ วางอยู่ตรงหน้า จึงเป็นการยากที่จะตัดสินใจตามธง เพราะประเด็นทางการแพทย์เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ ที่ทุกการตัดสินใจในการรักษา ต้องมีเหตุผลรองรับ เพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัยให้กับประชาชนทั่วประเทศ
ทุกเสียงVote ล้วนตัดสินใจบน "ข้อเท็จจริงทางการแพทย์"จากเวชระเบียนและจากการไต่สวนที่อนุกรรมการจริยธรรม อนุกรรมการสอบสวน และอนุกลั่นกรอง "ทำการบ้านมาให้ล่วงหน้า" ก่อนชงให้คณะกรรมการแพทยสภาชุดใหญ่ทำคำตัดสิน ย้ำว่าคณะกรรมการแพทยสภา เท่านั้นที่มีอำนาจตัดสิน อนุฯทุกชุดแค่เป็นคณะทำงาน เป็นที่ปรึกษาเท่านั้น
เดือน ๆ หนึ่งมีคดีที่แพทยสภาต้องทำคำตัดสินแบบนี้ไม่ต่ำว่า 30 คดี มากสุดเท่าที่จำได้คือเกือบ 60 คดี!!! ทำให้แพทยสภาต้องตั้ง "อนุกรรมการกลั่นกรอง" เข้ามาช่วยงาน
ด้วยเหตุที่ อนุจริยธรรม และอนุสอบสวนล้วนแต่ต้องเป็นแพทย์ ทางแพทยสภาจึงมีมติตั้งอนุกลั่นกรองตามที่บัญญัติไว้ในข้อบังคับแพทยสภามานับสิบปีแล้ว เพื่อเปิดโอกาสให้คนนอกที่มิใช่แพทย์ เข้ามาช่วยถ่วงดุลและนำเสนอความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ในคดีแต่ละคดี คล้าย ๆ กับ คณะที่ปรึกษาเพื่อ check and balance ภายในองค์กรเอง
"อนุกลั่นกรอง" คดีนี้ทำให้คนนอกได้ทราบว่า มิใช่มีแต่แพทย์เท่านั้นที่ทำคำตัดสินจริยธรรมทางการแพทย์ ยังมีคนนอกที่มิใช่แพทย์ (อนุกรรมการกลั่นกรอง) เข้ามาช่วยให้ความเห็นที่สำคัญในทางกฎหมาย
ยันแพทยสภาส่งเอกสารให้ครบ
ขณะที่ รศ.นพ.สมิทธิ์ ศรีสนธิ์ กรรมการแพทยสภา โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวใจความว่า ขออธิบายสักเรื่องหนึ่งที่เป็นข่าวอยู่ช่วงนี้ แล้วทำให้คนเข้าใจผิดแพทยสภา
แพทยสภาส่งเอกสารให้สภานายกพิเศษไม่ครบ?
คำตอบ ไม่จริง แพทยสภาได้ส่งเอกสารเกี่ยวกับมติแพทยสภาที่รวมขั้นตอนตั้งแต่ผู้ร้องทำการร้อง หลักฐานต่างๆ ที่รวบรวมมาได้ ความเห็นอนุกรรมการจริยธรรม ความเห็นอนุกรรมการสอบสวน ความเห็นอนุกรรมการกลั่นกรอง และความเห็นคณะกรรมการแพทยสภาเอง มีจำนวน 95 หน้า รวมทั้งยังให้เอกสารหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับคดี เช่น เวชระเบียน คำให้การ อีก 1500 กว่าหน้า ดังนั้นให้ข้อมูลไปครบแล้ว
แต่ทีมที่แต่งตั้งโดยสภานายกพิเศษกลับขอรายชื่ออนุกรรมการกลั่นกรอง กับรายงานการประชุมของอนุกรรมการกลั่นกรอง เพิ่มเติม
แพทยสภาจึงไม่ให้ เพราะไม่เกี่ยวกับส่วนของมติกรรมการแพทยสภา และไม่เข้าใจเหตุผลว่าต้องการไปเพื่ออะไร เพราะก็มีความเห็นของอนุกรรมการกลั่นกรองระบุในมติ 95 หน้าที่ส่งให้ไปแล้ว
ทั้งนี้ อนุกรรมการกลั่นกรอง ไม่มีอยู่ใน พรบ. วิชาชีพเวชกรรม แต่มีข้อบังคับแพทยสภาให้มีขึ้นมา เพื่อช่วยแพทยสภาในการตรวจสอบคดี ก่อนที่แพทยสภาจะมีมติ แต่สุดท้ายแพทยสภาก็เป็นผู้ชี้ขาดอยู่ดี
แล้วเอาจริงๆ ถ้าคิดถึงเรื่องการมีมติลงโทษหรือไม่ลงโทษแพทย์ที่ถูกร้อง ควรเน้นที่ความเห็นของแพทยสภากับหลักฐานในคดีที่แพทยสภาใช้ประกอบความเห็นเท่านั้น เพราะแพทยสภาเป็นผู้ชี้ขาด ไม่ว่าอนุกรรมการไหนจะมีความเห็นอย่างไรก็ตาม
ดังนั้นถ้าท้วงติงหรือขอข้อมูลเพิ่มเติม ควรดูถึงหรือขอหลักฐานที่แพทยสภาใช้ในการตัดสิน มากกว่ามาบอกว่า แพทยสภาส่งเอกสารไม่ครบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ แพทยสภา ได้ส่งความเห็นเกี่ยวกับมติแพทยสภา ลงโทษแพทย์ 3 คนที่เกี่ยวข้องกับการรักษาทักษิณ ชินวัตร ชั้น 14 กลับไปให้แพทยสภาแล้ว โดยเป็นการให้ความเห็นแยกเป็นแพทย์รายบุคคลที่ถูกกล่าวโทษ มีทั้งส่วนที่เห็นด้วยและส่วนที่ให้แพทยสภาพิจารณา
ทั้งนี้ แพทยสภา จะมีการประชุมครั้งแรกหลังจากที่สภานายกพิเศษให้ความเห็นกลับมาในวันที่ 12 มิ.ย.2568 โดยหากจะยืนยันตามมติแพทยสภาเดิมที่ลงโทษแพทย์ จะต้องใช้คะแนนเสียง 2 ใน 3 หรือ 47 คน จาก 70 คน
ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

หนุ่มโดนหามส่ง ICU ด่วน ทั้งโรงพยาบาล เจอปัสสาสะเป็นสีเขียว

หญิงวัย 58 เสียชีวิตกะทันหัน หลังเปิดแอร์ทันที ผลชันสูตรญาติใจหาย

FC ตกใจ เห็นสภาพนางแบบสาววัย 27 ปี หลังโดนไฟคลอกทั่วร่าง

ดวงคน 5 ราศี เดือนมิถุนายน 2568 นี้ จะมีข่าวดีหลายเรื่อง
