ระวังให้ดี! 5 พฤติกรรมเสี่ยง "อาการร้อนใน" ที่หลายคนมองข้าม

อาการ ร้อนใน หรือ แผลในปาก เป็นปัญหาจุกจิกที่สร้างความรำคาญไม่น้อย แต่รู้หรือไม่ว่าพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่เราทำกันบ่อยๆ นี่แหละ อาจเป็นตัวการสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดแผลร้อนในได้ง่ายกว่าที่คิด!

ลักษณะอาการของร้อนใน แผลร้อนในส่วนใหญ่มักมีลักษณะดังนี้ 

แผลเปื่อยรูปวงกลมหรือวงรี

ตรงกลางมีสีขาวหรือสีเหลือง

ขอบแผลมักเป็นสีแดง

ขนาด: อาจมีขนาดเล็กตั้งแต่ 1 มิลลิเมตร ไปจนถึงขนาดใหญ่กว่า 1 เซนติเมตร

ตำแหน่ง: สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ในช่องปาก เช่น บนลิ้น ใต้ลิ้น กระพุ้งแก้ม ด้านในของริมฝีปาก เหงือก หรือเพดานปาก

อาการ: ทำให้รู้สึก เจ็บ แสบ และระคายเคือง โดยเฉพาะเวลาพูด เคี้ยวอาหาร หรือดื่มน้ำ บางครั้งอาจรู้สึกเจ็บซ่า ๆ เล็กน้อยก่อนที่แผลจะปรากฏ 1-2 วัน

 

ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่ามี 5 พฤติกรรมเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวัง เพื่อสุขภาพช่องปากที่ดี 

1. เครียดสะสม พักผ่อนน้อย

ในยุคชีวิตเร่งรีบ ความเครียดและการนอนหลับไม่เพียงพอทำให้ ภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ ร่างกายจึงติดเชื้อและเกิดการอักเสบได้ง่ายขึ้น ซึ่งรวมถึงการเกิดแผลร้อนในนั่นเอง

2. ขาดวิตามินและแร่ธาตุจำเป็น

การขาดสารอาหารสำคัญ โดยเฉพาะ วิตามินบี 12, ธาตุเหล็ก และกรดโฟลิก ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการสร้างและซ่อมแซมเซลล์ ทำให้เยื่อบุในช่องปากอ่อนแอและเกิดแผลได้ง่าย

3. ชอบกินรสจัด หรืออาหารกรดสูง

อาหารรสจัด ไม่ว่าจะเป็นเผ็ดจัด เค็มจัด หวานจัด หรืออาหารที่มี ความเป็นกรดสูง เช่น ผลไม้บางชนิด สามารถระคายเคืองเยื่อบุอ่อนในช่องปาก และเพิ่มโอกาสการเกิดแผลร้อนในได้

4. แปรงฟันรุนแรง หรือบาดเจ็บในช่องปาก

การแปรงฟันที่ออกแรงมากเกินไป การใช้แปรงสีฟันขนแข็ง หรือแม้แต่การกัดกระพุ้งแก้มและลิ้นโดยไม่ตั้งใจ ล้วนทำให้เกิด บาดแผลเล็กๆ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของแผลร้อนในได้ นอกจากนี้ อุปกรณ์จัดฟันที่ไม่พอดีก็เป็นสาเหตุหนึ่ง

5. ใช้ยาสีฟันที่มีสาร SLS

สาร SLS (Sodium Lauryl Sulfate) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดฟองในยาสีฟันบางชนิด อาจ ระคายเคืองเยื่อบุช่องปาก ในบางคน และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดแผลร้อนในได้ง่ายขึ้น หากเป็นร้อนในบ่อยๆ ลองพิจารณาเปลี่ยนไปใช้ยาสีฟันที่ไม่มี SLS ดู

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้ จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดแผลร้อนใน และช่วยให้ช่องปากของคุณมีสุขภาพดีขึ้นได้ ลองสำรวจตัวเองดูสิว่าคุณมีพฤติกรรมเหล่านี้บ้างหรือไม่?