ไขความจริง 7 ความเชื่อผิดๆ"โรคเกาต์" ทำให้ดูแลตัวเองผิดวิธี

โรคเกาต์เป็นภาวะที่พบบ่อย แต่ก็มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคนี้อยู่ มาไขความจริงและทำความเข้าใจที่ถูกต้องจะช่วยให้การดูแลและการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
รู้หรือไม่? "โรคเกาต์" ไม่ใช่แค่ปวดหัวแม่เท้า ไม่ใช่แค่เรื่องของคนรวย! ไขความจริง
แม้โรคเกาต์จะเป็น ภาวะข้ออักเสบ ที่พบบ่อย แต่กลับมีความเข้าใจผิดมากมายที่อาจทำให้หลายคนดูแลตัวเองผิดวิธี หรือละเลยสัญญาณสำคัญ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจึงชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อการดูแลสุขภาพที่ดีขึ้น
ไขความจริง 7 ความเชื่อยอดฮิตเกี่ยวกับโรคเกาต์
1. ความเชื่อ: โรคเกาต์เป็นโรคของคนรวย หรือ "โรคของพระราชา" ที่เกิดจากการกินดีอยู่ดีเท่านั้น
ความจริง: แม้ว่าการบริโภคอาหารบางชนิดจะเพิ่มความเสี่ยง แต่โรคเกาต์สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะฐานะใดก็ตาม พันธุกรรม การทำงานของไต ยาบางชนิด และภาวะสุขภาพอื่น ๆ เช่น โรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูง ก็มีส่วนสำคัญในการเกิดโรคด้วย
2. ความเชื่อ: โรคเกาต์จะปวดแค่ที่นิ้วหัวแม่เท้าเท่านั้น
ความจริง: โรคเกาต์สามารถเกิดขึ้นได้กับข้อต่อใด ๆ ในร่างกายที่มีการสะสมของผลึกกรดยูริก เช่น ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อมือ ข้อศอก หรือแม้แต่นิ้วมือ แม้ว่านิ้วหัวแม่เท้าจะเป็นตำแหน่งที่พบบ่อยที่สุดก็ตาม
3. ความเชื่อ: โรคเกาต์เกิดจากการกินอาหารที่มีพิวรีนสูง (เช่น สัตว์ปีก เครื่องใน สัตว์ทะเล) เท่านั้น
ความจริง: อาหารที่มีพิวรีนสูงเป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดอาการกำเริบได้ แต่สาเหตุหลักของโรคเกาต์คือร่างกายมีการผลิตกรดยูริกมากเกินไป หรือไตไม่สามารถขับกรดยูริกออกได้ตามปกติ การควบคุมอาหารจึงเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด และไม่ใช่วิธีเดียวในการป้องกัน
4. ความเชื่อ: ถ้ากรดยูริกสูง ต้องเป็นโรคเกาต์เสมอไป
ความจริง: ผู้ที่มีระดับกรดยูริกในเลือดสูงไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคเกาต์ทุกคน บางคนอาจมีกรดยูริกสูงโดยไม่มีอาการใด ๆ เลยก็ได้ การวินิจฉัยโรคเกาต์ต้องอาศัยอาการทางคลินิก การตรวจร่างกาย และการตรวจพบผลึกยูเรตในน้ำไขข้อ
5. ความเชื่อ: โรคเกาต์เป็นแค่ข้ออักเสบธรรมดา ไม่ร้ายแรง
ความจริง: โรคเกาต์หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เช่น การเกิดก้อนโทฟัส หรือก้อนแข็งที่สะสมตามข้อต่อและเนื้อเยื่อ ทำให้ข้อต่อถูกทำลายอย่างถาวร เกิดความพิการได้ นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไต และมีความเชื่อมโยงกับโรคหัวใจและหลอดเลือด
6. ความเชื่อ: กินยาลดกรดยูริกแล้วต้องหยุดยาเมื่ออาการปวดหายไป
ความจริง: ยาที่ใช้รักษาอาการปวดเฉียบพลัน (เช่น ยาแก้อักเสบ) กับยาลดกรดยูริกในเลือดเป็นคนละชนิดกัน การใช้ยาลดกรดยูริกมักเป็นการรักษาในระยะยาว เพื่อควบคุมระดับกรดยูริกให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ การหยุดยาเองอาจทำให้ระดับกรดยูริกกลับมาสูงและเกิดอาการกำเริบได้อีก
7. ความเชื่อ: ดื่มน้ำน้อยก็เป็นเกาต์
ความจริง: การดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอช่วยให้ไตขับกรดยูริกออกจากร่างกายได้ดีขึ้น แต่ไม่ใช่สาเหตุหลักของการเกิดโรคเกาต์โดยตรง หากดื่มน้ำน้อยมาก อาจมีส่วนทำให้กรดยูริกตกตะกอนได้ง่ายขึ้น แต่โรคเกาต์เกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน
หากคุณมีอาการปวดข้อที่รุนแรงเฉียบพลัน หรือสงสัยว่ามีภาวะเกาต์ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง ไม่ควรปล่อยไว้ เพราะโรคเกาต์หากดูแลอย่างเหมาะสมก็สามารถควบคุมอาการและใช้ชีวิตได้ตามปกติ