"เอสซีจี" แถลงผลประกอบการ ไตรมาส 1 ปี 68 รุก"4กลยุทธ์"สู้ศึกสงครามการค้าโลก

เอสซีจี แถลงผลประกอบการ ไตรมาส 1 ปี 68 กระแสเงินสดแกร่ง กำไรดีขึ้นทุกธุรกิจรุก“4กลยุทธ์” สู้ศึกสงครามการค้าโลก 1.) ลดต้นทุน แข่งตลาดโลก2.) ขยายพอร์ตสินค้าคุณภาพราคาจับต้องได้ 3.) บุกตลาดใหม่ศักยภาพสูง 4.) สร้างความได้เปรียบจากฐานการผลิตอาเซียน
กรุงเทพฯ 30 เมษายน 2568 – เอสซีจี เผยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 ดีขึ้นกว่าไตรมาส 4 ปี 2567กระแสเงินสด (EBITDA) แข็งแกร่งต่อเนื่อง 12,889 ล้านบาท กำไร1,099 ล้านบาทจากการเร่งปรับตัวสู้ความท้าทายในทุกธุรกิจ และมาตรการเสริมความเข้มแข็งการเงินต่อเนื่อง พร้อมยกระดับ “4กลยุทธ์” สู้ศึกสงครามการค้าโลกรุนแรงยืดเยื้อ
1.) ลดต้นทุน แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก
2.) ขยายพอร์ตสินค้าให้รองรับความต้องการตลาดทุกระดับทั้ง “สินค้ามูลค่าเพิ่มสูงสินค้ากรีนและสินค้าคุณภาพราคาจับต้องได้”
3.) บุกตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง
4.) สร้างความได้เปรียบโดยส่งออกจากฐานการผลิตที่หลากหลายในภูมิภาคอาเซียนมั่นใจธุรกิจมีเสถียรภาพเติบโตได้ท่ามกลางความท้าทาย
นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “ไตรมาส1 ปี 2568 เอสซีจี มีกำไรสำหรับงวด 1,099 ล้านบาทเนื่องจากทุกธุรกิจปรับตัวดีขึ้นตามมาตรการเสริมความเข้มแข็งทางการเงินที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เร่งยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน ด้วยการลดต้นทุนการผลิตและการบริหารจัดการ รวมทั้งการขยายตลาดใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้างมีความต้องการเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลก่อสร้างและงบประมาณภาครัฐที่เบิกจ่ายต่อเนื่อง
ขณะที่เอสซีจี เคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) ปรับตัวดีขึ้นจากการบริหารต้นทุนและปรับพอร์ตสินค้า รวมถึงเอสซีจีพีที่ยังคงแข็งแกร่งจากการมุ่งเน้นการเติบโตเพื่อรองรับอุปสงค์ของผู้บริโภคภายในประเทศของกลุ่มอาเซียน เสริมพอร์ตสินค้าสำหรับผู้บริโภค (Consumer Packaging) ควบคู่กับการบริหารต้นทุน
ขณะเดียวกัน เอสซีจี ได้ดำเนินมาตรการเสริมความเข้มแข็งทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ทั้งการบริหารจัดการกระแสเงินสด ต้นทุน และเงินทุนหมุนเวียนอย่างระมัดระวัง ส่งผลให้ไตรมาส1 ปี 2568 เอสซีจี มีกระแสเงินสด (EBITDA)12,889 ล้านบาทสะท้อนการปรับตัวฉับไวของธุรกิจเพื่อคงศักยภาพการแข่งขันท่ามกลางความท้าทาย
สำหรับ สถานการณ์สงครามการค้าโลกจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ที่รุนแรง ล่าสุด “กองทุนการเงินระหว่างประเทศ” (IMF)ได้ปรับลดประมาณการการเติบโตเศรษฐกิจโลกปีนี้เหลือเพียง 2.8%ปัจจัยสำคัญมาจากการลดประมาณการ GDP ลงเกือบทุกประเทศ สำหรับ GDPประเทศไทย ปรับลดลงเหลือ 1.8%
เอสซีจี ได้ประเมินสถานการณ์และผลกระทบจากสงครามการค้าโลกพบว่า
1.) ผลกระทบทางตรงต่อเอสซีจี มีเล็กน้อย เนื่องจากในปี 2567 มีการส่งออกไปสหรัฐฯ เพียง 1% จากยอดขายรวมของเอสซีจี
2.) ผลกระทบทางอ้อมหากพ้นระยะที่สหรัฐฯ ประกาศชะลอการจัดเก็บภาษีนำเข้า 90 วัน กลุ่มประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯอาจถูกเก็บอัตราภาษีที่แตกต่างกันโดยเฉพาะในประเทศไทยที่อาจถูกเก็บอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 36%ตามที่สหรัฐฯ ประกาศเมื่อ 2 เมษายน 2568จึงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจทั้งในระดับภูมิภาคและโลกจะชะลอตัวรุนแรงการส่งออกระหว่างประเทศ รวมถึงการทะลักของสินค้าจากประเทศอื่นเข้ามาในประเทศไทยจะส่งผลให้
การแข่งขันรุนแรงยิ่งขึ้น”
นายธรรมศักดิ์ กล่าวว่า “สงครามการค้าได้สร้างแรงกดดันทั่วโลกแต่ยังมีโอกาสที่ซ่อนอยู่ เช่น แนวโน้มราคาน้ำมันโลกที่ลดลง ผู้ผลิตปิโตรเคมีในจีนประสบปัญหาการจัดหาวัตถุดิบจากสหรัฐฯ ตลอดจนบางตลาดยังมีกำลังซื้อสูงสำหรับสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง(High-Value Added Products- HVA Products) สินค้ากรีน (Green Products) และสินค้าคุณภาพ ราคาจับต้องได้(Quality Affordable Products) เอสซีจีจึงยกระดับการปรับตัวให้เข้มข้นรับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ด้วย 4 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ 1.) ลดต้นทุนแข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก
2.) ขยายพอร์ตสินค้าให้รองรับความต้องการตลาดทุกระดับทั้ง “สินค้ามูลค่าเพิ่มสูง สินค้ากรีน และสินค้าคุณภาพราคาจับต้องได้”3.) บุกตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง และ 4.) สร้างความได้เปรียบโดยส่งออกจากฐานการผลิตที่หลากหลายในภูมิภาคอาเซียนประกอบกับมาตรการเสริมความเข้มแข็งทางการเงินที่ทำต่อเนื่องอย่างได้ผล ทำให้มั่นใจได้ว่าธุรกิจจะสามารถฝ่าความท้าทายจากสงครามการค้าโลกได้อย่างทันท่วงที”
4 กลยุทธ์รับมือสงครามการค้าโลกของทุกธุรกิจในเอสซีจี
1.) ลดต้นทุน แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลกเพื่อรับมือสินค้าราคาถูกจากประเทศอื่นที่อาจเข้ามาแข่งขันด้วยวิธีการดังนี้
• ลดต้นทุนการผลิต(Operation Cost) โดยควบรวมไลน์การผลิต ปรับปรุงประสิทธิภาพ ลดขั้นตอนโดยเพิ่มการใช้ Robotic Automationเช่นเอสซีจี ไฮม์ใช้หุ่นยนต์อัจฉริยะประกอบบ้านโมดูลาร์ทนแผ่นดินไหวอย่างแม่นยำและเอสซีจี เดคคอร์ ผลิตสุขภัณฑ์ COTTO ใช้เครื่องหล่อแรงดันสูงและระบบพ่นสีเคลือบอัตโนมัติด้วยหุ่นยนต์ให้ขึ้นรูปสุขภัณฑ์ได้รวดเร็วสีเรียบเนียนสม่ำเสมอและใช้เทคโนโลยีการประมวลภาพ (Image Processing) ช่วยตรวจวิเคราะห์คุณภาพสินค้าอย่างแม่นยำเพื่อความมั่นใจในมาตรฐานก่อนส่งถึงมือลูกค้า
• ลดต้นทุนการบริหารจัดการ (Admin Cost) โดยเพิ่มการใช้ AIปรับปรุงประสิทธิภาพทั่วทั้งองค์กร เช่น ใช้ AI ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างหรือการคาดการณ์ความผิดปกติของเครื่องจักรก่อนเกิดความเสียหาย(Predictive Maintenance)
• ปรับลดเงินทุนหมุนเวียน(Working Capital)ตลอดห่วงโซ่อุปทานส่งผลให้สามารถลดหนี้สินสุทธิลงเหลือ 290,504 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2568 และเพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจ
• เพิ่มการใช้พลังงานสะอาด โดยใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานชีวมวล(Biomass)และพลังงานทางเลือก (Alternative Fuel) ในกระบวนการผลิต เพื่อเสริมประสิทธิภาพ ลดต้นทุนเพิ่มความได้เปรียบด้านการแข่งขัน และรักษ์โลกโดยในไตรมาส 1 ปี 2568เอสซีจี ใช้พลังงานทางเลือกในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 44%ของเชื้อเพลิงทั้งหมด
2.)ขยายพอร์ตสินค้าให้รองรับความต้องการตลาดทุกระดับ
• พัฒนา“สินค้ามูลค่าเพิ่มสูงและสินค้ากรีน”(HVA Products& Green Products)ให้ตอบโจทย์ตลาดเช่นกระเบื้องเกรซพอร์ซเลนขนาดใหญ่,ปูนเอสซีจีคาร์บอนต่ำ ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นGen 3ที่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนฯ ได้ประมาณ40%ตั้งเป้าจำหน่ายในกลุ่มสินค้าปูนตกแต่งในไตรมาสที่ 4 ปี 2568,กลุ่มสินค้าหลังคา ผนังและพื้นตกแต่งที่ใช้เทคโนโลยี Digital Printing พร้อมUV Coating เคลือบผิวทนทาน กันเชื้อราและหลอดฉีดยาและเข็มฉีดยาที่เอสซีจีพี ผสานความร่วมมือกับOnce Medical Company Limited
• เพิ่ม“สินค้าคุณภาพราคาจับต้องได้”(Quality Affordable Products)ที่มีความต้องการสูง ทำกำไรทันที เช่น เอสซีจี โซลาร์รูฟ ที่ผลิตไฟฟ้าได้เต็มประสิทธิภาพ และมีหลายแพ็กเกจราคาให้เลือก,หลังคาเซรามิก เอสซีจี รุ่น Celica Curveที่คุ้มค่า ทนทาน สีสวยติดทนกว่าด้วยเนื้อเซรามิก, กระเบื้องคอนกรีตปูพื้นทางเดิน เอสซีจี ที่มีดีไซน์และลายยอดนิยม แข็งแรงทนทาน ใช้ในงานออกแบบได้หลากหลาย และ ท่อ PVC เกษตร ที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับความต้องการของเกษตรกร
3.) บุกตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง โดยขยายการส่งออกสินค้า เช่น ปูนเอสซีจีคาร์บอนต่ำ กระเบื้องคอนกรีตสมาร์ทบอร์ด กระดาษบรรจุภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์อาหารไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพและความต้องการ เช่น ประเทศที่ปรับตัวและได้ประโยชน์จากสงครามการค้า โดยใช้เครือข่ายของธุรกิจต่าง ๆ ของเอสซีจีที่มีอยู่ทั่วโลก
4.) สร้างความได้เปรียบโดยส่งออกจากฐานการผลิตที่หลากหลายในภูมิภาคอาเซียน โดยสลับฐานการผลิตและส่งออกจากประเทศที่มีอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ต่ำกว่า ฐานการผลิตที่หลากหลายซึ่งเป็นจุดแข็งของเอสซีจีจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทันท่วงทีเช่น บรรจุภัณฑ์ของเอสซีจีพีที่มีฐานการผลิตและส่งออกได้จากทั้งไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ส่วนปูนเอสซีจีคาร์บอนต่ำ และกระเบื้องเกรซพอร์ซเลน สามารถผลิตและส่งออกได้จากทั้งไทยและเวียดนาม
อย่างไรก็ตาม แม้สงครามการค้ายังมีความไม่แน่นอนและอุปสงค์เคมีภัณฑ์ชะลอตัวแต่ เอสซีจีซีคาดว่าจะได้รับอานิสงส์บวกจากราคาน้ำมันโลกที่มีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเคมีภัณฑ์ลดลง เอสซีจีซี จึงเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและดำเนินการเชิงรุกได้แก่
1.) ลดต้นทุนบริหารอย่างต่อเนื่อง
2.) เพิ่มความยืดหยุ่นของซัพพลายเชนให้สอดคล้องกับสถานการณ์รวมทั้งเตรียมความพร้อมของโครงการลองเซินปิโตรเคมิคอลส์ที่ประเทศเวียดนาม(LSP)ให้กลับมาเดินเครื่องได้เมื่อสถานการณ์เหมาะสม
3.) เร่งพัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง พร้อมขยายธุรกิจสินค้ากรีนและดิจิทัล โซลูชัน เช่น DRS by Repco NEX
นายธรรมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “เอสซีจีเล็งเห็นถึงความท้าทายที่ภาคอุตสาหกรรมกำลังเผชิญ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งเป็นหัวใจของเศรษฐกิจฐานราก และได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากสถานการณ์สงครามการค้าโลก จึงพร้อมเปิดบ้านสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ถ่ายทอดความรู้ เสริมศักยภาพ และช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวและแข่งขันได้ ผ่านโครงการ ‘Go Together’ ที่เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง และจะครบเป้าหมายเฟสแรก 1,200 คนในเดือนพฤษภาคมนี้ รวมถึงโครงการ ‘NZAP’ ที่มีผู้เข้าร่วมแล้ว 106 ราย ด้วยความร่วมมือและการสนับสนุนซึ่งกันและกันนี้ เราจะสามารถก้าวข้ามความท้าทายครั้งนี้ไปได้ด้วยกัน”

ตะลึง กู้ภัยล้มฟุบตะโกนช่วยด้วย กลางพิธีโต๊ะจีนเหยื่อตึกถล่ม

เหยื่อปูนตกใส่รถดับ ถนนพระราม 2 ญาติสงสัย รพ.ส่อให้เลือดผิดกรุ๊ป

เปิดนาที กู้ภัยถูกวิญญาณในตึก สตง.สิงร่าง ร้องหิวขอข้าวน่าเวทนา

ดาวใหญ่ย้าย เปิดดวง 12 ราศี ชีวิตพลิก เงินทองมีใช้ไม่เดือดร้อน
