ครูสาว จบปริญญาโท รับราชการ 10 ปี ก่อนทิ้งทุกอย่างไปเป็นเกษตรกร

02 พฤษภาคม 2566

ครูสาวจบปริญญาตรีพ่วงปริญญาโท ออกมาสอบติดครู ใช้เวลาทำงานกว่า 10 ปี วันนี้ขอลาออกไปทำงานอย่างอื่น ยอมรับว่าชีวิตการทำงานกลืนกินทุกอย่าง ไม่มีเวลาพัก ไม่มีเวลากินข้าว ครูที่สบายคือครูที่ตายไปแล้ว จากนี้มุ่งสู่การทำเกษตร

เมื่อไม่นานนี้ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Sunsanee Wonghong โพสต์ภาพพร้อมข้อความถึงการลาออกจากราชการ ใจความสรุปว่า ลาออกจากราชการ บันทึกความทรงจำ ณ 1 พ.ค. 2566 นางศันสนีย์ มุกดาหาร 27 มีนาคม พ.ศ. 2566 ยื่นคำร้องขอลาออกจากราชการ โดยมีคำสั่ง สพม.จบตร ที่ 101/2566 อนุญาตให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาลาออกจากราชการ มีผลตั้งแต่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 รับราชการรวม 10 ปี 8 เดือน 24 วัน

 

ครูสาว จบปริญญาโท  รับราชการ 10 ปี ก่อนทิ้งทุกอย่างไปเป็นเกษตรกร

 

สิ่งที่ภาคภูมิใจในอดีตที่ผ่านมา

– การสอบบรรจุเป็นข้าราชการครูได้ลำดับที่ 4 ของเขต
– เรียนจบปริญญาโทด้านการสอนมาอย่างเข้มข้นจนหยดสุดท้าย
– ทุ่มเทกับการสอนมาอย่างดีตลอดอายุราชการ
– ทุ่มเทกับงานราชการมาอย่างหนักไม่เคยแผ่ว
– การเป็นครูบรรจุใหม่ที่หนองบอนวิทยาคม ทำให้มีโอกาสทำงานพิธีกรจากการชักชวนของพี่ปัท จากคนที่พูดน้อยมากจนกลายเป็นความสามารถพิเศษในปัจจุบัน และเป็นทักษะติดตัวที่ต่อยอดในการรับราชการได้อย่างดี
– และไม่ว่ารับราชการอยู่ที่โรงเรียนไหน ศันสนีย์พบว่า ได้โอกาสทำงานสำคัญๆอยู่เสมอ ตำแหน่งล่าสุดที่ได้รับก่อนลาออก : หัวหน้างานสภานักเรียน : รองหัวหน้าระดับ ม.4 และมีส่วนร่วมกับงานสำคัญๆของโรงเรียนจากการเป็นหัวหน้างานสภานักเรียนอีกมากมาย

 

ครูสาว จบปริญญาโท  รับราชการ 10 ปี ก่อนทิ้งทุกอย่างไปเป็นเกษตรกร

 

คำถามที่หลายคนคงถามตรงกันคือ ลาออกทำไม?

ในช่วงแรกที่ตัดสินใจบอกคนอื่นน้อยมาก เพราะงานเยอะยังไม่พร้อมจะตอบคำถามใครนัก พอเวลาผ่านไปก็เริ่มบอกคนที่เกี่ยวข้องกับการทำงานเพื่อให้เขาได้เตรียมวางแผนก่อนที่เราจะออก

 

ครูสาว จบปริญญาโท  รับราชการ 10 ปี ก่อนทิ้งทุกอย่างไปเป็นเกษตรกร

 

ลาออกทำไม…ขอตอบในส่วนที่อยากตอบและอยากสื่อสาร จะได้เข้าใจตรงกันว่าทำไมศันสนีย์ไม่ไปโรงเรียน

1. ชีวิตการเป็นครูของศันสนีย์ในปัจจุบันนั้นเหนื่อยและหนักหนามาก สมกับคำว่า “คุรุ” ที่แปลว่า หนัก ตั้งแต่รับราชการมา ไม่เคยมีคำว่าสบาย ใครที่บอกอาชีพครูสบายนี่อยากให้มาลองเลย

2. ศันสนีย์ไม่ได้เป็นครูอย่างเดียว เป็นชาวสวนด้วย และเป็นสิ่งที่ทิ้งไม่ได้ เดิมจันทร์-ศุกร์ กลางวันและกลางคืนทำงานโรงเรียน เสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดอื่นๆทำงานสวน แต่ปัจจุบันพบว่างานโรงเรียนได้กลืนกินชีวิตศันสนีย์ไปทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว แทบไม่มีเวลาให้กับสวนหรือการพักผ่อนเลย เสาร์-อาทิตย์ กลางวันกลางคืนยังนั่งพิมพ์งานแง็กๆอยู่หน้าคอม งานโรงเรียนหลอกหลอนทั้งวันทั้งคืน ช่วงเวลาสำคัญของสวนเช่นการแต่งลูกและการขายมันเป็นดีลสำคัญมาก แต่ก็มาไม่ได้ต้องไปโรงเรียน

 

ครูสาว จบปริญญาโท  รับราชการ 10 ปี ก่อนทิ้งทุกอย่างไปเป็นเกษตรกร

 

3. เหตุผลจากข้อ 1 เริ่มทำให้ศันสนีย์ เริ่มกินข้าวไม่ตรงเวลาจนถึงไม่ได้กินข้าวเที่ยงหลายครั้ง ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้นเลย และเมื่อต้องทำสวนด้วยแน่นอนว่าคำว่าพักผ่อนจึงไม่มีบนโลกของศันสนีย์ เป็นครูก็หนัก ทำสวนก็หนัก ร่างกายและจิตใจก็เริ่มพังเรื่อยๆ คนที่ทำอาชีพครูอย่างเดียว หรือทำสวนอย่างเดียวจึงอาจไม่เข้าใจ

4. ความคิดว่าจะลาออกไม่ได้พึ่งเกิดขึ้น เกิดขึ้นมาไม่ต่ำกว่าปีแล้วแค่ไม่ได้พูดกับใครเยอะ อยู่ๆเป้าหมายของชีวิตก็คือการลาออกเฉย ถามว่าทำไม? เราเบื่อระบบหลายๆตรงที่มันทำให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ เป็นระบบที่บ้าเอกสารมาก ต้องปั่นเอกสารหนาๆเยอะมาก แต่ไม่ได้มีใครอ่านหรอก ดูแค่ว่าปกคืออะไรหนาไหม ส่งยัง จบ!!

แล้วก็เบื่อวิถีของครูที่บ้าการแข่งขัน ไม่อยากแข่งก็ต้องแข่ง เพื่อชื่อเสียงของโรงเรียน เพื่อให้มีผลงาน เด็กบางกลุ่มบางคนเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ โดยเฉพาะแข่ง ศปหถก. เอาจริงๆนะส่งครูแข่งเถอะ หมดงบกันไปเท่าไหร่

ความรู้สึกส่วนตัวมองว่า เรากำลังหลงทางกันรึป่าว สิ่งที่เราควรโฟกัสคือการสอนในห้อง งานสอนมันต้องมาลำดับ 1 ไม่ใช่งานพิเศษ ไม่ใช่งานอื่น และก็มีอีกหลายประเด็นที่คนเป็นครูก็รู้กันดี การรอให้อายุราชการครบ 25 ปีแล้วค่อยลาออก สำหรับศันสนีย์จึงเป็นไปได้ยากมากๆ

 

ครูสาว จบปริญญาโท  รับราชการ 10 ปี ก่อนทิ้งทุกอย่างไปเป็นเกษตรกร

 

5.สุดท้ายก็ตกตะกอนว่า… การรับราชการครูดีนะ ศันสนีย์ภูมิใจที่ได้รับราชการครู เงินเดือนดีกว่าราชการอื่นๆ มีสวัสดิการให้นั่นนี่ แต่สิ่งที่ต้องแลกคือสุขภาพกาย ใจ เวลา ชีวิต ที่ต้องทุ่ม ณ ตอนนี้เริ่มมองว่ามันไม่คุ้ม ครูที่สบายคือครูที่ตายแล้วกับครูที่ไม่ทำงาน เราเป็นคนทำอะไรจริงจังและทุ่มเท การให้เราหลอยๆค่อยๆลดงานจนเป็นครูที่ไม่ทำงาน ไม่ใช่วิถีของศันสนีย์

อาชีพครูก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่มันแค่ไม่เข้ากันกับสิ่งที่เราเป็นในปัจจุบันแล้ว ในอดีตเป้าหมายของชีวิตคือการเติบโตในชีวิตราชการ แต่ปัจจุบันความคิดเปลี่ยนไป เป้าหมายของชีวิตเราคือการได้ใช้ชีวิต มีสุขภาพกายใจที่ดี และมีเวลากับครอบครัว

 

ครูสาว จบปริญญาโท  รับราชการ 10 ปี ก่อนทิ้งทุกอย่างไปเป็นเกษตรกร