หนุ่มเปิดใจหวิดดับเพราะ GPS โชคดีตั้งสติทันรอดมาได้

สืบเนื่องมาจากกรณีเหตุการณ์เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เกิดเหตุรถเก๋งขับตกคลองบางบัวทอง ที่เกิดเหตุเป็นทางเบี่ยงจุดกลับรถใต้สะพานข้ามคลองบางบัวทอง ถนนราชพฤกษ์ขาออก ต.ท่าอิฐ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี พบซากชิ้นส่วนรถที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ และร่องรอยที่รถพุ่งตกลงไปในคลอง เบื้องต้นทางประกันภัยได้นำรถยกมายกรถที่ตกลงไปในคลองขึ้นมาแล้ว

ด้าน นายวสันต์ อายุ 51 ปี พลเมืองดีที่เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ขณะกำลังจะเดินไปทำงานที่โรงเรียน พบชายหนุ่มนั่งอยู่ริมคลองสภาพเนื้อตัวเปียกน้ำ ที่แขนมีรอยแผล สอบถามจึงรู้ว่าเขาขับรถตกคลองเพราะไม่รู้เส้นทาง ซึ่งจุดนี้เกิดอุบัติเหตุบ่อยมาก เมื่อ 2 คืนก่อนก็มีรถเก๋งพุ่งชนรั้วทางเดินเสียหายแต่คนขับไม่เป็นไร ส่วนในอดีตเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน มีพยาบาลขับรถตกลงไปในคลองเสียชีวิตคารถ ต่อมามีรถกระบะสองผัวเมียพุ่งตกลงไปในคลอง ตนลงไปช่วยได้แค่สามี แต่ภรรยาเสียชีวิตเพราะตอนนั้นไม่รู้ว่ายังมีคนอยู่ในรถอีก ซึ่งขณะที่กำลังช่วยสามีอยู่นั้น ก็มีรถตู้พุ่งตกลงมาอีกคันในเวลาเดียวกัน ตนจึงรีบไปช่วยคนในรถอีกคันต่อ ไม่ทราบว่าเป็นอาถรรพ์หรือไม่ เพราะตรงนี้ก็เป็นทางโค้ง สภาพถนนก็ไม่ดี แต่ทำไมรถถึงมองเห็นเป็นถนนปกติ



-หนุ่มขับรถตาม GPS พุ่งลงคลอง ชาวบ้านเล่าเจอแบบนี้หลายรายมองเห็นทางปกติ
-เพจดังเปิดภาพย้อนหลัง 8 ปี จุดเกิดเหตุหนุ่มขับตาม GPS ตกน้ำ
-ป้ายเตือนมาเเล้ว จุดเกิดเหตุหนุ่มขับตาม GPS จมดับกลางเเม่น้ำเจ้าพระยา

ต่อมา นายณัฐดนัย อายุ 21 ปี หนุ่มที่ขับรถตกคลอง เล่าเหตุการณ์ว่า ขับรถจากรังสิตไปหาเพื่อนแถวถนนราชพฤกษ์ ใช้เส้นทางงามวงศ์วาน เข้าสู่ถนนรัตนาธิเบศร์ โดยเปิดกูเกิลแมปนำทาง เมื่อมาถึงใกล้ จุดเกิดเหตุ กูเกิลแมปแจ้งว่าให้ใช้ทางเบี่ยงซ้าย ตนก็ขับตามที่บอกด้วยความเร็วเพราะคิดว่าเป็นทางตรงไปได้ เมื่อมาถึงพบว่าเป็นทางโค้ง ทำให้ไม่สามารถบังคับรถเลี้ยวได้ จึงพุ่งขึ้นทางเท้า ชนราวสะพานทางเดิน ก่อนเสียหลักหมุนตกลงไปในคลอง เมื่อตกลงไปก็เปิดประตูออกมาไม่ได้ ด้วยแรงดันน้ำ จึงต้องปล่อยให้น้ำเข้ามาในรถแล้วค่อย ๆ เปิดประตูออก ก่อนว่ายน้ำเข้าฝั่งและขอให้ชาวบ้านช่วยเหลือส่วนชาวบ้านอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุ ฝากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ ช่วยติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างบริเวณนี้ด้วย เพราะมืดมากตอนกลางคืน คนไม่รู้เส้นทางประสบอุบัติเหตุบ่อย บางครั้งมีเสียชีวิตด้วย



ขอบคุณ เรื่องเล่าเช้านี้


 ขอขอบคุณข้อมูลจาก Tnews