วิชา มหาคุณ ยกคำพิพากษาศาลฎีกา ผู้กำกับโจ้ เอาถุงคุมหัวผู้ต้องหา

28 สิงหาคม 2564

วิชา มหาคุณ ยกคำพิพากษาศาลฎีกา ชี้การนำถุงดำคลุมหัวเท่ากับมีเจตนาฆ่า หลังคดีนี้สะท้อนประชาชนไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรม

วานนี้ (27 ส.ค.2564) นายวิชา มหาคุณ กรรมาธิการและที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ ระบุถึงกรณี พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผู้กำกับโจ้ อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ หลังสังคมยังเคลือบแคลงสงสัย ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม โดยเกรงว่าอาจมีการช่วยเหลือกันหรือไม่ เนื่องจากผู้ก่อเหตุเป็นตำรวจ ซึ่งอยากขอใช้คำว่า อย่าปิดเแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือ เพราะเป็นการเปิดโปรงกระบวนการทั้งหมด ว่ามีการกระทำเป็นอย่างไร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย 

วิชา มหาคุณ ยกคำพิพากษาศาลฎีกา ผู้กำกับโจ้ เอาถุงคุมหัวผู้ต้องหา

"โดยหลังจากเกิดเหตุ มีการถอดกล้องวงจรปิดออกหมด แต่ก็ยังมีเจ้าหน้าที่ที่ไม่เห็นด้วยและทนไม่ไหว ได้แจ้งข้อมูลและส่งคลิปภาพมาเปิดเผย หากไม่ใช่คนวงใน ก็คงจะไม่มีข้อมูลที่มาเปิดเผย ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความไม่เห็นด้วยของทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ตำรวจ เหมือนกับการเปลือยล่อนจ้อน ว่าการกระทำนั้นเป็นอย่างไรบ้าง มันเหมือนพายุร้ายที่กวาดล้าง จะเรียกว่ากวาดล้างความไม่ดีงานต่างๆ โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลสำคัญ เพราะเดี๋ยวนี้ประชาชนหรือคนในวงการก็ดีทนไม่ไหว" นายวิชา กล่าว

วิชา มหาคุณ ยกคำพิพากษาศาลฎีกา ผู้กำกับโจ้ เอาถุงคุมหัวผู้ต้องหา

นายวิชา ย้ำว่า แนวทางการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของทั่วโลกในขณะนี้ ใช้หลักในการแจ้งเบาะแส แจ้งข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นบุคคลใด หากมีข้อมูลมีการถ่ายคลิปผ่านทางมือถือ ก็สามารถส่งข้อมูลเพื่อป้องปรามการทุจริตและเป็นหลักฐาน ซึ่งทั่วโลกให้การยอมรับ ส่วนกระบวนการในการสอบสวนที่ผ่านมามีการใช้ถุงดำคลุมหัวแบบในคลิปที่ปรากฎหรือไม่ รวมทั้งผู้กระทำความผิดมีการออกมาชี้แจงว่าไม่ได้มีเจตนาในการฆ่านั้น อยากให้ย้อนไปดูคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 5332/60 

นายวิชา กล่าวต่อว่า ซึ่งพิพากษาไว้ในหลักการและลักษณะที่ชัดเจน โดยวินิจฉัยว่าการนำถุงคลุมหัวย่อมแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ผู้กระทำย่อมเล็งเห็นว่า ผู้ถูกกระทำย่อมขาดอากาศหายใจและเสียชีวิตได้ จึงวางหลักในคดีไว้ว่า จำเลยจึงมีเจตนาฆ่า ซึ่งกรณีนี้มีความชัดเจนอยู่แล้ว
 
ส่วนกระบวนการหลังจากนี้ ก็คงต้องติดตามการทำงานของคณะกรรมการในการสืบสวนสอบสวน ซึ่งส่วนตัวมองว่า มีความผิดปกติเนื่องจากการสอบสวนนั้น จะต้องดำเนินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งต้องอาศัยกระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์ และกระบวนการอื่นๆ ในการพิจารณาร่วมกัน เพื่อค้นหาความจริงว่ามีใครร่วมมือหรืออยู่เบื้องหลังและมีการทำแบบนี้ก่อนหน้านี้หรือไม่

นอกจากนี้ เห็นด้วยว่าการปฏิรูปตำรวจนั้น จำเป็นที่ต้องมีการปฏิรูปกระบวนการในการสอบสวนควบคู่ไปด้วยกัน ซึ่งร่างพระราชบัญญัติสอบสวนคดีอาญา ที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน ได้ส่งเรื่องมาแล้ว ขณะนี้อยู่ชั้นการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งกระบวนการก็พยายามเร่งเพื่อเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ โดยเร็ว

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก Tnews