สปป.ลาว พบผู้ป่วยโควิดเพิ่มเกือบ 100 ส่วนใหญ่เป็นแรงงานกลับจากไทย

11 กรกฎาคม 2564

สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวถึงกับสั่นคลอน ตรวจพบผู้ป่วยโควิดเพิ่มเกือบ 100 ราย อึ้งหนักส่วนใหญ่เป็นแรงงานกลับจากไทย ส่วนติดเชื้อในประเทศมีแค่สองรายและเป็นเจ้าหน้าที่รักษาหน้าด่าน

จากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 ที่ได้แพร่ระบาดไปทั่วโลก นับเวลาเกือบ 3 ปีที่ทั่วโลกต้องต่อสู้กับโควิด 19 ซึ่งต้องยอมรับว่าในหลายๆ ประเทศเริ่มควบคุมสถานการณ์การได้จนทำให้พลเมืองในพื้นที่ไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัยกันแล้ว

สปป.ลาว พบผู้ป่วยโควิดเพิ่มเกือบ 100 ส่วนใหญ่เป็นแรงงานกลับจากไทย

เว้นแต่ประเทศไทย ที่ยังต้องรับมืออย่างหนักกับเจ้าเชื้อไวรัสตัวนี้อยู่ และดูท่าว่าจะแย่ลงไปทุกขณะเนื่องจากเชื้อไวรัสเริ่มมีการกลายพันธุ์และทวีความรุนแรงมากขึ้น ยิ่งทำให้การรับมือในรูปแบบเดิมเริ่มใช้ไม่ได้ผล เพราะเชื้อกลายพันธุ์ถูกกำจัดไม่ได้โดยวัคซีนที่ไม่ได้คุณภาพ ทว่ารัฐบาลไทยก็ยังสั่งนำเข้ามาฉีดให้กับประชาชน

สปป.ลาว พบผู้ป่วยโควิดเพิ่มเกือบ 100 ส่วนใหญ่เป็นแรงงานกลับจากไทย
เกี่ยวกับเรื่องนี้ สื่อต่างประเทศจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว รายงานว่า ดร. รัตนชัย เพชรสุวรรณ ได้เปิดเผยแถลงการณ์จากศูนย์ป้องกันและควบคุมโควิด 19 ของสปป.ลาว ซึ่งยืนยันตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้อยู่ที่ 93 ราย ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมของประเทศอยู่ที่ 2,360 ราย

สิ่งที่น่าตกในในครั้งนี้คือ จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ 93 รายดังกล่าว ตรวจพบที่แขวงสะหวันนะเขต 45 ราย, แขวงจําปาสัก 45 ราย, แขวงคำม่วน 1 ราย และแขวงบ่อแก้ว 2 ราย ซึ่งพบว่าผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เดินทางมาจากประเทศไทย

สปป.ลาว พบผู้ป่วยโควิดเพิ่มเกือบ 100 ส่วนใหญ่เป็นแรงงานกลับจากไทย

โดยในรายงานได้เปิดเผยนว่า ผู้ติดเชื้อภายในประเทศมีเพียง 2 รายเท่านั้น และเป็นเจ้าหน้าที่ชายแดนที่ประจำการอยู่ในพื้นที่แขวงจำปาสัก ส่วนที่เหลืออีกจำนวนมากถึง 91 ราย เป็นแรงงานที่เดินทางกลับมาจากประเทศไทย

ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งติดตามเส้นทางการแพร่เชื้อและดำเนินการสอบสวนโรคเพื่อคัดกรองกลุ่มเสี่ยงผู้มีประวัติสัมผัสใกล้ชิด

 

อย่างไรก็ตาม สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้จัดสรรวัคซีนให้ประชาชนในพื้นที่ฉีดแล้ว ซึ่งวัคซีนที่ใช้ในประเทศได้แก่ ไฟเซอร์และซิโนฟาร์ม

สปป.ลาว พบผู้ป่วยโควิดเพิ่มเกือบ 100 ส่วนใหญ่เป็นแรงงานกลับจากไทย
ข้อมูลจาก The Laotian Times