สหรัฐฯป่วยโควิด-19 กลายพันธุ์เกือบ 2,000 ราย สายพันธุ์ใหม่โผล่นิวยอร์ก

สำนักข่าวซินหัวของจีนรายงานว่าศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ (CDC) รายงานการตรวจพบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ชนิดกลายพันธุ์ รวมเกือบ 2,000 รายทั่วประเทศ ทั้งยังค้นพบไวรัสกลายพันธุ์ชนิดใหม่ในนครนิวยอร์กอีกด้วย

ข้อมูลชี้ให้เห็นว่าสหรัฐฯ รายงานการตรวจพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 ชนิดกลายพันธุ์ รวมอยู่ที่ 1,932 รายทั่วประเทศ เมื่อนับถึงวันที่ 23 ก.พ. ซึ่งแบ่งเป็นผู้ป่วยไวรัสกลายพันธุ์ชนิดที่พบในสหราชอาณาจักร 1,881 ราย ผู้ป่วยไวรัสกลายพันธุ์ชนิดที่พบในแอฟริกาใต้ 46 ราย และผู้ป่วยไวรัสกลายพันธุ์ชนิดที่พบในบราซิล 5 ราย

ขณะเดียวกัน ศูนย์ฯ ได้เผยแพร่งานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าไวรัสกลายพันธุ์ชนิดที่พบในสหราชอาณาจักรนั้นอาจเป็นไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ตรวจพบมากที่สุดในสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือนมีนาคมปีก่อน และมีรายงานว่าไวรัสกลายพันธุ์ชนิดนี้สามารถแพร่เชื้อได้รวดเร็วกว่าสายพันธุ์อื่นๆ

หนังสือพิมพ์เดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส (The New York Times) และสื่ออื่นๆ รายงานอ้างคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย (CalTech) ว่าไวรัสกลายพันธุ์ชนิดใหม่ชื่อ “บี.1.526” (B.1.526) กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในนครนิวยอร์ก โดยปรากฏให้เห็นครั้งแรกในกลุ่มตัวอย่างที่รวบรวมได้ในเมืองเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อน

คณะวิจัยกล่าวว่าไวรัสกลายพันธุ์ที่เพิ่งค้นพบใหม่ชนิดนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับไวรัสกลายพันธุ์ที่พบในแอฟริกาใต้และบราซิล โดยเป็นการกลายพันธุ์ที่ตำแหน่ง “อี484เค” (E484K) ที่โปรตีนหนาม ซึ่งทำให้ไวรัสมีความต้านทานต่อวัคซีนในระดับหนึ่ง

คณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยฯ ได้จัดลำดับตัวอย่างไวรัสจำนวน 1,142 ตัวอย่าง ที่ได้รับจากสถาบันการแพทย์ในเครือ และพบว่าร้อยละ 12 ของผู้ป่วยติดไวรัสที่เกิดการกลายพันธุ์ที่ตำแหน่งอี484เค

ด้านโมเดอร์นา (Moderna) บริษัทเภสัชภัณฑ์ของสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันที่ 24 ก.พ. ว่าได้พัฒนาวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ-1273.351 (mRNA-1273.351) ตัวใหม่ เพื่อป้องกันไวรัสกลายพันธุ์ที่พบในแอฟริกาใต้ และจะเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการทดลองทางคลินิกเพื่อตรวจสอบการตอบสนองภูมิคุ้มกันต่อไวรัสกลายพันธุ์ต่อไป

ทั้งนี้ ศูนย์วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมเชิงระบบ (CSSE) แห่งมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์ รายงานว่าสหรัฐฯ มีผู้ป่วยโรคโควิด-19 รวมอยู่ที่เกือบ 28.33 ล้านราย และผู้เสียชีวิตอีกมากกว่า 505,000 ราย

ที่มา https://www.xinhuathai.com/high/180901_20210225?fbclid=IwAR36wYSTN_5PhBKEPgzzJy5PzuOWTLjWUzsuXJnT_FpXSRUby05g0rwfyho