10 ค่าใช้จ่ายต้องรู้ ก่อนซื้อบ้าน เตรียมเงินให้พร้อม

25 เมษายน 2566

บ้าน คือปัจจัยหลักที่เชื่อว่าหลายคนตั้งเป้าว่าอยากจะมีเป็นของตัวเองสักหลังเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้านไม่ได้มีแค่ ‘ราคาบ้าน’ เท่านั้น แต่ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกมากมาย จะมีอะไรบ้างนั้นมาหาคำตอบไปพร้อมๆกันเลย

10 ค่าใช้จ่ายต้องรู้ ก่อนซื้อบ้าน เตรียมเงินให้พร้อม

10 ค่าใช้จ่ายเตรียมเตรียมพร้อมซื้อบ้าน


1.ค่าจองและทำสัญญา (ค่ามัดจำ)
ค่าจอง หรือ  “เงินจอง” เป็นเงินที่เราจะต้องนำไปให้กับผู้ขายเพื่อเป็นการรับประกันว่าเราต้องการซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมนี้จริงๆ ทั้งการจองตั้งแต่ก่อนก่อสร้างหรือภายหลังก่อสร้างแล้วเสร็จ ซึ่งค่าใช้จ่ายจะแตกต่างกันไปแล้วแต่ผู้ขายหรือโครงการ ส่วนใหญ่จะมีราคาหลักหมื่นขึ้นไป   หลังจากวางเงินจองแล้ว คุณจะต้องทำสัญญาจะซื้อจะขาย ซึ่งระบุรายละเอียดและค่าใช้จ่ายต่างๆ ว่าใครคือผู้รับผิดชอบ จำนวนเท่าไหร่ คุณควรอ่านและศึกษารายละเอียดของสัญญาก่อนลงนาม โดยสัญญาจะซื้อจะขายต้องมีคู่ฉบับให้ผู้ซื้อ – ผู้ขายลงนาม และถือไว้เป็นหลักฐานคนละฉบับ หลายโครงการกำหนดให้ผู้ซื้อต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อทำสัญญาจะซื้อจะขาย

2.ค่าดาวน์
สำหรับข้อนี้ ทุกคนที่ตั้งใจจะซื้อบ้านคงน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี และเป็นเงินส่วนที่มักจะเตรียมมาแล้ว ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้เปรียบเสมือนเงินจองในอีกขั้น เพราะไม่ใช่เงินแค่หมื่นต้นๆ แต่เงินดาวน์จะมีตั้งแต่ 5% – 10% ของราคาบ้าน เช่น หากซื้อบ้านราคา 1,000,000 บาท คุณจะต้องเตรียมเงินเป็นค่าดาวน์ 50,000 – 100,000 บาท 

3.ค่าประเมินราคาเมื่อขอสินเชื่อ
เงินส่วนนี้เป็นเงินที่ธนาคารเรียกเก็บจากคุณเป็นค่าดำเนินการในการประเมินมูลค่าบ้านเพื่อที่ธนาคารจะได้นำมาประเมินวงเงินสินเชื่อให้คุณ ซึ่งค่าประเมินราคาจะมีราคาประมาณ 1,000 – 3,000 บาท แล้วแต่ธนาคาร นั่นหมายความว่า ถ้าคุณยื่นขอสินเชื่อจากหลายธนาคาร คุณก็ต้องจ่ายค่าประเมินราคาให้กับทุกเจ้า ทั้งนี้ สินเชื่อบ้านบางโครงการของบางธนาคารอาจยกเว้นค่าประเมินราคา หรือบางที่อาจมีโปรโมชั่นฟรีค่าประเมินให้

4.ค่าจดจำนอง

ค่าจดจำนองจริงๆ แล้วคือค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนกับกรมที่ดิน ซึ่งคิดเป็น 1% ของวงเงินจำนอง หรือราว 1% ของยอดกู้ (กรณีที่ขอสินเชื่อกับธนาคาร) เช่น ได้วงเงินกู้ 1,000,000 บาท ต้องเตรียมเงินจำนองจำนวน 10,000 บาท นอกจากนี้ จะมีค่าอากรแสตมป์ราคา 0.50% ของราคาซื้อ-ขาย ซึ่งควรเจรจากับผู้ขายและควรระบุในสัญญาจะซื้อจะขายให้ชัดเจนว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบค่าโอน


5.ค่าโอนกรรมสิทธิ์
ค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์นั้นจะจ่ายให้กับกรมที่ดินเช่นเดียวกับค่าจดจำนอง โดยกรมที่ดินคิดค่าจดทะเบียนสิทธิ 2% จากราคาประเมิน และสำหรับค่าใช้จ่ายส่วนนี้ผู้ซื้อกับผู้ขายควรตกลงว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งโดยทั่วไปจะแบ่งกันรับผิดชอบฝ่ายละ 1%


6.ค่าเบี้ยประกันภัยบ้าน
เป็นอีกค่าใช้จ่ายที่ไม่ค่อยมีใครนึกถึง หลายคนอาจคิดว่าไม่ใช่ค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้านเลยก็ได้ แต่จริงๆ แล้ว อย่างน้อย เมื่อขอสินเชื่อบ้านแล้ว อย่างไรก็จะต้องทำประกันวินาศภัยหรืออัคคีภัยตามกฎหมาย ซึ่งเบี้ยประกันขึ้นอยู่กับมุูลค่าบ้าน บ้านราคาสูง ค่าเบี้ยประกันสูงกว่าบ้านราคาต่ำจะอยู่ในช่วง 1,000 บาทขึ้นไป ต่อปี (สำหรับบางธนาคารอาจเรียกเก็บพร้อมค่าผ่อนรายเดือนอยู่แล้ว)

7.ค่ามิเตอร์น้ำ-ไฟฟ้า
สำหรับค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้านส่วนนี้ จะแตกต่างกันไปตามบ้านแต่ละประเภทโดยขึ้นอยู่กับมาตรวัด ขนาดมิเตอร์ และจำนวนกระแสน้ำ-ไฟที่ปล่อยได้ อาจมีได้ทั้งค่าติดตั้งมิเตอร์ ค่าประกันมิเตอร์ และค่าประกันการใช้น้ำ-ไฟฟ้า เมื่อรวมกันทั้งหมดจะอยู่ในช่วงหลักพันถึงหลักหมื่น


8.ค่าส่วนกลาง (ถ้ามี)
หากเป็นบ้านเดี่ยวไม่ได้มีโครงการดูแลต่อหลังจากการขาย ก็จะไม่มีค่าส่วนกลาง แต่สำหรับคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร บ้านในหมู่บ้านของโครงการ จะมีค่าส่วนกลางสำหรับบริหาร ปรับปรุง และพัฒนาโครงการ เช่น ค่าระบบรักษาความปลอดภัย ค่าบำรุงรักษาสินทรัพย์ในโครงการ ค่าใช้บริการสินทรัพย์หรือสถานที่ส่วนกลาง เป็นต้น ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนกลางจะขึ้นอยู่กับแต่ละโครงการ โดยเก็บตามขนาดพื้นที่ห้องชุดหรือขนาดเนื้อที่ดินกรณีที่ดินอาคาร


9.งบเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้า
แม้ค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะไม่ใช่ค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้านโดยตรง แต่ก็เป็นค่าใช้จ่ายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และบางทีก็เป็นค่าใช้จ่ายที่อาจงอกขึ้นมาเรื่อยๆ หากไม่วางแผนก่อน แนะนำว่า ในระหว่างที่คุณกำลังเก็บเงินเพื่อซื้อบ้าน ให้คุณประเมินและวางแผนซื้อเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้ารวมกับราคาบ้านที่ต้องการไว้ด้วย


10.งบตกแต่งบ้าน
เช่นเดียวกับข้อข้างบน คุณควรที่จะตั้งงบประมาณก่อนที่จะออกไปซื้อของมาตกแต่งบ้าน และลองคิดว่าจะใช้เงินส่วนนี้กับอะไรบ้างให้คุ้มค่าที่สุด และคิดหาวิธีที่จะตกแต่งบ้านให้น่าอยู่ได้แบบประหยัด

 

เก็บเงินเท่าไรเพื่อซื้อบ้าน?

โดยทั่วไปธนาคารจะปล่อยสินเชื่อให้คุณราว 85% – 95% เมื่อรวมค่าใช้ค่าจ่ายต่างๆข้างต้นแล้วนั่นหมายความว่า คุณต้องเตรียมเงินส่วนต่างจากสินเชื่อราว 10%-20% หากคุณอยากลดค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้านลง หนึ่งในวิธีที่ทำได้ คือ การเลือกสินเชื่อที่ดอกเบี้ยถูก ให้วงเงินได้สูง หรือมองหาสินเชื่อที่งดเว้นค่าใช้จ่ายบางส่วน เช่น ค่าประเมินราคา เพื่อให้คุณมีเงินสำหรับการซื้อบ้านจริงๆ สูงขึ้น หรือกู้ได้มากขึ้น และเงินที่เหลือจะได้ใช้เป็นค่าซื้อสิ่งของและตกแต่งบ้านต่อไป รวมไปถึงอาจตกลงกับทางโครงการในการขอโปรโมชั่นต่างๆ เพื่อลดค่าใช้จ่ายในบางส่วนซึ่งในปัจจุบันหลายโครงการมีการจัดโปรโมชั่นเพื่อแข่งขันในเรื่องของการขายเช่น ฟรีค่าใช้จ่าย ณ วันโอน  ฟรีค่าส่วนกลาง เป็นต้น 

 

ขอบคุณข้อมูล  ghbank.co.th