ไม่ใช่แค่กิน แพทย์ชี้ฮอร์โมนแปรปรวน ทำให้อ้วน ดื้อการลดน้ำหนัก

ลดน้ำหนักมาหลายวิธีแต่ไม่เห็นผล อาจไม่ใช่เพราะขาดวินัย แพทย์ชี้ “ฮอร์โมน” มีบทบาทสำคัญต่อความอ้วน หากปรับพฤติกรรมควบคู่การรักษาอย่างเหมาะสม
โรคอ้วน (Obesity) คือภาวะที่ร่างกายมีการสะสมไขมันมากเกินความจำเป็น ซึ่งไม่เพียงส่งผลต่อรูปร่าง แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดผิดปกติ โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคมะเร็งบางชนิด
การประเมินภาวะอ้วนไม่ได้ดูเพียงน้ำหนักตัวเท่านั้น แต่ต้องพิจารณาจาก ดัชนีมวลกาย (BMI) ร่วมกับรอบเอว สัดส่วนไขมันในร่างกาย รวมถึงการตรวจหาความผิดปกติอื่น ๆ เช่น ระดับน้ำตาล ไขมันในเลือด ฮอร์โมนไทรอยด์ และความดันโลหิต เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา
หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้หลายคน ลดน้ำหนักเท่าไหร่ก็ไม่ลง คือภาวะ ฮอร์โมนไม่สมดุล เมื่อร่างกายรับรู้ว่ามีน้ำหนักลดลง ระบบฮอร์โมนจะพยายามปรับตัวเพื่อรักษาน้ำหนักเดิมเอาไว้ ซึ่งถือเป็นกลไกการเอาตัวรอดของร่างกาย
ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความอ้วน ได้แก่
- ฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ฮอร์โมนกระตุ้นความหิว ที่มักเพิ่มสูงขึ้นเมื่ออดอาหารหรือไดเอตหนัก
- ฮอร์โมน GLP-1 ฮอร์โมนที่ช่วยให้อิ่มและควบคุมระดับน้ำตาล ซึ่งอาจลดลง
- อัตราการเผาผลาญพื้นฐาน (BMR) ที่ลดต่ำลง ทำให้ร่างกายใช้พลังงานน้อยกว่าปกติ
ผลลัพธ์คือ ผู้ที่ลดน้ำหนักจะรู้สึก หิวบ่อย เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย และน้ำหนักคงที่หรือเพิ่มขึ้น ทั้งที่กินน้อยลงและออกกำลังกายมากขึ้นแล้ว
ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่า การรักษาภาวะอ้วนจากฮอร์โมน จำเป็นต้องใช้แนวทางแบบองค์รวม ไม่ใช่เพียงการควบคุมอาหารหรือออกกำลังกายเท่านั้น แต่ควรปรับพฤติกรรมการนอน การจัดการความเครียด ควบคู่กับการประเมินและรักษาทางการแพทย์อย่างเหมาะสม โดยแพทย์ผู้มีความชำนาญ เพื่อให้การลดน้ำหนักปลอดภัยและได้ผลในระยะยาว
แหล่งที่มาอ้างอิง
สมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย
องค์การอนามัยโลก (WHO) เรื่องโรคอ้วน

เปิดสาเหตุ ข้าวบูดคาหม้อ ทั้งที่เพิ่งหุง พร้อมวิธีแก้ให้เก็บได้นานข้ามวัน

9 ประโยชน์ซองกันชื้น เปลี่ยนขยะก้นถุง ให้กลายเป็นของใช้สุดล้ำที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้

5 เหตุผลที่คุณห้ามตัดหนวดแมว เด็ดขาด ถ้าไม่อยากให้ชีวิตน้องพัง

เมียหลวง ไปร่วมงานแต่งงานของสามีตัวเองกับเจ้าสาวอีกคน
















