ระวังให้ดี กลุ่มเสี่ยง “นิ่วในถุงน้ำดี” ใกล้ตัวกว่าที่คิด

โรค “นิ่วในถุงน้ำดี” เป็นภัยเงียบที่หลายคนมองข้าม มักเกิดในผู้หญิงวัยกลางคน คนอ้วน หรือผู้ที่ชอบทานอาหารไขมันสูง หากปล่อยไว้นานอาจต้องผ่าตัดถุงน้ำดีทิ้ง!
ใครมีความเสี่ยงสูงเป็นโรค "นิ่วในถุงน้ำดี"
นิ่วในถุงน้ำดี (Gallstones) คือ “ก้อนแข็ง” ที่ก่อตัวขึ้นภายในถุงน้ำดี ซึ่งเป็นอวัยวะเล็กๆ อยู่ใต้ตับ มีหน้าที่เก็บน้ำดีที่ผลิตจากตับ เพื่อช่วยย่อยไขมันในลำไส้เล็ก โดยนิ่วมักเกิดจากการตกตะกอนของ คอเลสเตอรอล หรือ บิลิรูบิน (สารที่เกิดจากการสลายเม็ดเลือดแดง)
ในระยะแรกผู้ป่วยอาจไม่มีอาการ แต่เมื่อก้อนนิ่วโตขึ้น หรือหลุดไปอุดท่อน้ำดี อาจเกิดอาการปวดท้องรุนแรง คลื่นไส้ ตัวเหลือง หรือไข้ได้
สาเหตุของการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี การเกิดนิ่วในถุงน้ำดีมักสัมพันธ์กับความไม่สมดุลของสารเคมีในน้ำดี ได้แก่
- คอเลสเตอรอลสูงเกินไป ทำให้ตกตะกอนเป็นก้อนแข็ง
- น้ำดีคั่งในถุงน้ำดีนานเกินไป เพราะการบีบตัวของถุงน้ำดีผิดปกติ
- การสลายเม็ดเลือดแดงมากเกินไป เช่น ในผู้ป่วยโรคโลหิตจางบางชนิด ทำให้บิลิรูบินมากขึ้นจนตกตะกอน
กลุ่มเสี่ยงที่ควรระวังเป็นพิเศษ
เพศหญิง – ผู้หญิงมีโอกาสเป็นนิ่วมากกว่าผู้ชาย เพราะฮอร์โมนเอสโตรเจนส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลในน้ำดีสูงขึ้น
ผู้มีอายุ 40 ปีขึ้นไป – อายุที่มากขึ้นสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและระบบย่อยอาหาร
ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วนลงพุง – ร่างกายผลิตคอเลสเตอรอลส่วนเกินมาก ทำให้ตกตะกอนง่าย
ผู้ที่ลดน้ำหนักเร็วเกินไป – การอดอาหารหรือไดเอตอย่างหนัก ทำให้ถุงน้ำดีทำงานผิดจังหวะ
หญิงตั้งครรภ์ – ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงขณะตั้งครรภ์ทำให้การเคลื่อนไหวน้ำดีลดลง
ผู้ป่วยเบาหวานและไขมันในเลือดสูง – มีแนวโน้มเกิดการตกตะกอนของไขมันในถุงน้ำดี
ผู้ที่รับประทานอาหารไขมันสูง ของทอด ของมันบ่อยๆ – กระตุ้นให้ถุงน้ำดีทำงานหนักและเพิ่มโอกาสเกิดนิ่ว
อาการที่พบบ่อย
- ปวดท้องบริเวณชายโครงขวา โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารที่มีไขมัน
- ปวดร้าวไปหลังหรือไหล่ขวา
- คลื่นไส้ อาเจียน
- มีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง (บ่งบอกนิ่วอุดตันท่อน้ำดี)
- มีไข้ หนาวสั่น หากมีการติดเชื้อร่วมด้วย
บางรายอาจไม่มีอาการเลย จนกระทั่งตรวจพบโดยบังเอิญจากการอัลตราซาวด์ช่องท้อง
การตรวจวินิจฉัย
แพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย และมักใช้ เครื่องอัลตราซาวด์ช่องท้อง (Ultrasound) เพื่อดูว่ามีก้อนนิ่วในถุงน้ำดีหรือไม่
ในบางกรณีที่สงสัยภาวะอุดตัน อาจใช้การตรวจเพิ่มเติม เช่น CT Scan หรือ MRI ถุงน้ำดีและท่อน้ำดี (MRCP)
แนวทางการรักษา
1.กรณีไม่มีอาการ: อาจเฝ้าระวังและปรับพฤติกรรม
2.กรณีมีอาการรุนแรง: แพทย์อาจแนะนำให้ ผ่าตัดถุงน้ำดีออก (Laparoscopic Cholecystectomy) ซึ่งเป็นการผ่าตัดแบบส่องกล้อง แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว
3.การใช้ยา: ในบางรายอาจใช้ยาละลายนิ่ว แต่ต้องใช้เวลานานและมีโอกาสกลับมาเกิดซ้ำ
วิธีป้องกันโรคนิ่วในถุงน้ำดี
- รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- เลือกรับประทานอาหารไขมันต่ำ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช และโปรตีนไม่ติดมัน
- หลีกเลี่ยงของทอดและอาหารมัน
- ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน
- ไม่อดอาหารหรือควบคุมอาหารแบบหักโหม
- ดื่มน้ำให้เพียงพอวันละ 6–8 แก้ว
สรุป
“นิ่วในถุงน้ำดี” เป็นโรคที่มักไม่แสดงอาการในช่วงแรก แต่สามารถลุกลามจนเป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้หญิงวัยกลางคน ผู้มีน้ำหนักเกิน หรือผู้ที่รับประทานอาหารไขมันสูงเป็นประจำ
การดูแลสุขภาพให้สมดุล รับประทานอาหารอย่างเหมาะสม และตรวจสุขภาพเป็นประจำ คือทางป้องกันที่ดีที่สุด
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

อลังการ! “ทุ่งดอกไม้นามพระราชทาน” บานสะพรั่งกลางป่าอุบลฯ

ศาลตัดสินแล้ว สาว BMW ซิ่งชน 3 แม่ลูกดับ จำคุก 4 ปี 7 เดือน ไม่รอลงอาญา

"ฉก.ราชมนู" สกัดจับชาวเมียนมา 8 ราย ลอบข้ามแดนเข้าชายแดนแม่สอด

7 สัญญาณเตือน “งูอยู่ใกล้บ้าน” รู้ไว้ป้องกันอันตรายก่อนเกิดเหตุ
















