ผลไม้ดาวเด่น”ฝรั่งขี้นก” ประโยชน์มหาศาล อนาคตไกล

15 สิงหาคม 2565

”ฝรั่งขี้นก” ผลไม้ไทยที่ถูกลืม แต่มากด้วยประโยชน์มหาศาล และอนาคตไกล ไม่นิยมปลูกจึงส่งผลให้ราคาผลผลิตจะสูงกว่าฝรั่งทั่วไป

หากพูดถึงผลไม้พื้นบ้านที่สมัยก่อนนิยมปลูกติดบ้านไว้ คงหนีไม่พ้น ฝรั่งสีชมพู หรือฝรั่งขี้นก เนื่องจากเป็นผลไม้ที่ให้ผลผลิตได้ตลอดทั้งปี ปลูกง่ายและไม่ต้องดูแลอะไรมาก แต่ปัจจุบันนี้นั้นการจะหาฝรั่งสีชมพู หรือฝรั่งขี้นก มารับประทานนั้นเป็นเรื่องยากมาก เพราะเกษตรกร ไม่นิยมปลูกจึงส่งผลให้ราคาผลผลิตจะสูงกว่าฝรั่งทั่วไป

ผลไม้ดาวเด่น”ฝรั่งขี้นก” ประโยชน์มหาศาล อนาคตไกล

ฝรั่งขี้นกเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง เปลือกเรียบเป็นมัน สีเขียวปนน้ำตาล ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปรีแกมรูปขอบขนาน ดอกเป็นช่อออกตามซอกใบ มีดอกย่อย 3-5 ดอก สีขาว ผลทรงกลมหรือรูปไข่ ผิวเรียบ เนื้อแข็ง เมื่อสุกจะมีสีเหลือง เนื้อนุ่ม เมล็ดกลมและแข็ง ซึ่งสามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีลักษณะเป็นดินปนทราย

ผลไม้ดาวเด่น”ฝรั่งขี้นก” ประโยชน์มหาศาล อนาคตไกล

การขยายพันธุ์ :  เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่งและปักชำ

การหาฝรั่งมาปลูกนั้นส่วนใหญ่มักจะใช้วิธีการ ตอนกิ่ง เนื่องจากมีข้อดีดังนี้

1. ทำให้ต้นฝรั่งมีทรงพุ่มเตี้ย สวยงาม

2. เมื่อต้นฝรั่งมีทรงพุ่มเตี้ยแล้ว ทำให้การเก็บผลได้ง่าย ป้องกันกำจัดโรคและศัตรูง่ายสะดวก

3. ออกผลเร็วกว่าปลูกด้วยการเพาะเมล็ด

4. ได้พันธุ์แท้เหมือนกันกับต้นเดิมที่ตอนมา

ผลไม้ดาวเด่น”ฝรั่งขี้นก” ประโยชน์มหาศาล อนาคตไกล

การปลูกฝรั่ง

เตรียมดิน และกะระยะปลูก ทำการไถดินตากแดดไว้ประมาณ 10 วัน แล้วจึงพรวนดิน เมื่อพรวนดินเสร็จแล้วจึงกะระยะปลูก ซึ่งอาจจะปลูกแบบสี่เหลี่ยมจตุรัส สี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือสามเหลี่ยมด้านเท่าก็ได้ ตามความต้องการของผู้ปลูก แต่ถ้าจะปลูกแบบสี่เหลี่ยมจตุรัส ต้องกะระยะระหว่างต้น ระหว่างแถวให้กว้างเท่าๆ กัน เช่นระยะระหว่างต้น 6 เมตร ระยะระหว่างแถวยาว 7 เมตร เป็นต้น

แต่ถ้าจะปลูกฝรั่งแบบสามเหลี่ยมด้านเท่า จะได้จำนวนต้นต่อไร่ มากกว่าปลูกแบบสี่เหลี่ยมจตุรัส หรือสี่เหลี่ยมผืนผ้าในระยะปลูกเท่าๆ กัน เพราะฉะนั้นการปลูกจะปลูกแบบไหนก็ดีเป็นเรื่องของผู้ปลูกจะพิจารณาเอาเอง ตามธรรมดาแล้วการปลูกฝรั่งควรจะมีระยะปลูก 6X6 เมตร สำหรับดินทั่วๆ ไป ถ้าดินดีควรจะห่างกัน 7X7 เมตร ซึ่งระยะปลูกนี้ก็ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้ปลูกว่าควรจะใช้ปลูกแบบไหนระยะเท่าไรจึงจะดี ตามเหตุที่ได้กล่าวมาแล้ว

 

การขุดหลุมปลูก ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่าการปลูกฝรั่งนั้นควรมีระยะปลูก 6X6 เมตร หรือ 7X7 เมตรนั้น เมื่อได้เตรียมที่ดินไว้แล้วก็ควรกะระยะหลุมปลูกได้เลย เมื่อกะระยะหลุมปลูกแล้ว ควรให้ขนาดของหลุมปลูกกว้าง 1 เมตร ยาว 1 เมตร ลึก 1 เมตร การขุดหลุมปลูกให้กว้างและลึกนั้น เปลี่ยนสภาพของดินในหลุมปลูกได้ดีขึ้นเพื่อให้เหมาะแก่การหาอาหารของรากต้นไม้ แต่สำหรับที่ยกร่องนั้น ควรขุดหลุมปลูกให้กว้าง 1 เมตร ยาว 1 เมตร และลึก 50 เซนติเมตรก็พอแล้ว เท่าที่ให้ลึก 50 เซ็นติเมตรนั้น ก็เพราะระดับน้ำในร่องต่ำกว่าระดับหลังร่อง เพียง 75 เซ็นติเมตรเท่านั้น ถ้าจะให้ลึก 1 เมตร ก็จะถึงระดับน้ำในดิน ฉะนั้นจึงให้ขุดลึกเพียง 50 เซ็นติเมตร การขุดหลุมมักไม่ค่อยระมัดระวัง มักขุดดินมารวมเป็นกองเดียวกัน เพียงแต่ให้ได้ขุดหลุมกว้าง 1 เมตรยาว 1 เมตร ลึก 1 เมตร ก็แล้วกันเท่านั้น ไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง เพราะตามธรรมดาแล้ว ดินที่อยู่ตอนหน้านั้นเป็นดินที่มีอาหารพืชมากกว่าดินตอนล่าง ฉะนั้นการขุดดินควรขุดดินออกเป็นสองกอง คือขุดเอาดินตอนบนไว้กองหนึ่ง และดินล่างไว้อีกกองหนึ่ง และตากหลุมไว้ประมาณ 10-15 วัน เพื่อให้แสงแดดฆ่าเชื้อโรคและแมลงในหลุม แล้วจึงผสมดินล่างกับปุ๋ยคอก เช่น มูลกระบือ โค ประมาณหลุมละ 3 บุ้งกี๋ กับดินที่ขุดมาจากหลุม ตากแดดไว้จนเข้ากันดีแล้วเอาดินบนใส่ลงไปในหลุม จนหมด แล้วจึงเอาดินล่างที่ผสมกับปุ๋ยคอกแล้วใส่ลงในหลุมอีก ใส่ดินในหลุมจนหมดแล้วให้เสยปากหลุมสัก 25 เซ็นติเมตร เพราะต่อไปเมื่อปลูกต้นฝรั่งและรดน้ำแล้วดินจะยุบลงไปอีก การปลูกฝรั่งแบบวิธียกร่องนั้น ควรปลูกแบบยกโคกด้วย เพราะระดับน้ำในดินอยู่สูงมาก ถ้าไม่ปลูกแบบยกโคก รากจะหยั่งลงไปถึงระดับน้ำในดินจะทำให้รากเน่าตายได้

การปลูกฝรั่งด้วยกิ่งตอนชำ

ตามธรรมดาฝรั่งที่ขยายพันธุ์ โดยการตอนกิ่งนั้นมัก จะมีกิ่งระเกะระกะมากมาย บางทีบางกิ่งก็มีกิ่งเล็กๆ ตั้ง 4-5 กิ่งและส่วนมากเกษตรกรรมักจะเสียดายกิ่งและไม่อยากตัดกิ่งออกทิ้งก็มีแต่กิ่งไม่มีลำต้น ดังนั้น เมื่อฝรั่งให้ผล กิ่งมักจะโน้มลงดินจะต้องใช้ไม้ค้ำไว้ แต่ถ้าหากได้มีการตัดแต่งกิ่งฝรั่งที่อยู่โคนๆ ออกเสียบ้างเหลือกิ่งที่อยู่ตอนบนยอดเพียง 2-3 กิ่ง ก็จะทำให้ต้นฝรั่งมีลำต้น เมื่อฝรั่งออกผล ก็ไม่ต้องใช้ไม้ค้ำกิ่งดังกล่าวมาแล้ว เป็นการทุ่นค่าแรงและค่าใช้จ่ายอีกด้วย

การปฏิบัติบำรุงรักษา

1. การรดน้ำ เมื่อหลังจากปลูกต้นฝรั่งแล้ว ถ้าฝนตกก็ไม่ต้องรดน้ำ และถ้ามีฝนตกหนักก็ควรจะทำการระบายน้ำออกเสีย ถ้าฝนไม่ตก 5-7 วัน ถึงแม้จะเป็นฤดูฝนก็ควร รดน้ำ 3-4 วัน ต่อครั้งหนึ่ง การรดน้ำว่าจะพอแก่ความต้องการของต้นฝรั่งหรือไม่ ให้สังเกตความชุ่มชื้นของดินประกอบ

ด้วย เมื่อฝรั่งโตจนออกดอกออกผลแล้ว ในระยะนี้ควรให้น้ำตลอดไป เว้นไว้ตอนที่ก่อนฝรั่งจะออกดอกจนถึงติดผลประมาณ 1-2 เดือน เพราะถ้าให้น้ำต้นฝรั่งตอนนี้จะทำให้ฝรั่งแตกใบอ่อน กว่าใบอ่อนจะแก่กินเวลา 1 เดือนบางทีก็เลย ไม่ออกดอกเลยก็มี การรดน้ำหลังจากที่ฝรั่งให้ผลแล้ว จึงให้น้ำและค่อยๆ ทวีขึ้นตามความต้องการของต้นฝรั่ง

2. การกำจัดวัชพืช ตามธรรมดาวัชพืชมักเกิดขึ้นมา คอยแย่งอาหารของต้นฝรั่งอยู่เสมอ ควรจะหาทางป้องกันและกำจัดวัชพืชที่จะเกิดขึ้นมาคอยแย่งอาหารเสีย โดย

-หมั่นทำการถางวัชพืชที่เกิดขึ้นมาอยู่เสมอๆ

-พ่นยาป้องกันกำจัดวัชพืช

-ปลูกพืชแซม เพื่อจะได้ใช้ที่ดินที่ว่างเปล่าให้เกิดประโยชน์เป็นการช่วยมิให้วัชพืชเกิดขึ้นด้วย และยิ่งกว่านั้นแล้ว ยังได้ประโยชน์จากการปลูกพืชแซมก็คือ เมื่อมีการปลูกพืชก็มีการพรวนดินใส่ปุ๋ยและรดน้ำต้นฝรั่งก็จะได้ผลพลอยได้จากการปลูกพืชแซมด้วย

-ปลูกพืชตระกูลถั่วคลุมดิน เช่น เซนโทรีซีมาเพอราเรีย คลุมดินไว้ จะเป็นการช่วยป้องกันมิให้เกิดวัชพืชขึ้นได้ และยิ่งกว่านั้นปมของพืชตระกูลถั่วยังสามารถดึงเอาธาตุไนโตรเจนจากอากาศมาไว้ในปมของพืชตระกูลถั่วในดินด้วย

3. การพรวนดิน เมื่อได้ปลูกฝรั่งลงในดินแล้ว ควรหมั่นพรวนดินอยู่เสมอ เพราะการพรวนดินนอกจากจะทำให้ดินร่วนโปร่ง อากาศเข้าไปในดินแล้ว ยังเป็นการช่วยทำลายวัชพืชอีกด้วย แต่การพรวนดินนั้น จะต้องคอยระวังอย่าพรวนให้ลึกลงไปติดรากของฝรั่งขาดได้ เพราะจะทำให้ต้นฝรั่งชะงักงัน ฉะนั้นทางที่ดีควรพรวนดินให้ห่างๆ ต้น เพื่อเป็นการป้องกันมิให้รากของต้นฝรั่งขาด เมื่อพรวนดินแล้วควรจะรีบใส่ปุ๋ยเสียด้วย

4. การใส่ปุ๋ยนั้นควรใส่ทุกๆ ปี และควรจะเริ่มใส่ตั้งแต่เริ่มปลูกเลยทีเดียว การใส่ปุ๋ยนั้นควรจะทำดังนี้

-ควรใส่ปุ๋ยในระยะที่ยังไม่ได้ผล ได้ปีละ 3 ครั้งและให้ผลแล้วปีละ 2 ครั้ง

-ควรใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมีควบคู่กันไป เพื่อดินจะได้มีสภาพดีอยู่เสมอ

-ใช้พืชตระกูลถั่วฝังรอบๆ ทรงพุ่มของดินแล้วกลบดิน เพื่อให้พืชตระกูลถั่วเน่าเปื่อยผุพัง แล้วกลายเป็นอาหารของต้นฝรั่ง

การใส่ปุ๋ยในปีที่ 1 ใส่ครั้งแรกเมื่อเริ่มปลูกใส่ปุ๋ยคอก 1 ½ 7 บุ้งกี๋ และปุ๋ยเคมี 200 กรัม ใส่ครั้งที่  2 เมื่อปลูกได้ 4 เดือน ใส่ปุ๋ยเคมี 200 กรัม ใส่ครั้งที่ 3 เมื่อปลูกได้ 8 เดือน ใส่ปุ๋ยเคมี 200 กรัม

การใส่ปุ๋ยในปีที่ 2 ใส่ครั้งแรกเมื่อได้ปลูกได้ 12 เดือน ใส่ปุ๋ยคอก 1 ½ บุ้งกี๋ ปุ๋ยเคมี 400 กรัม ใส่ครั้งที่สองเมื่อปลูกได้ 16 เดือน ใสปุ๋ยเคมี 400 กรัม ครั้งที่ 3 เมื่อปลูกได้ 20 เดือน ใส่ปุ๋ยเคมี 400 กรัม

การใส่ปุ๋ยในปีที่ 3 ใส่ปุ๋ยคอก 3 บุ้งกี๋ แล้วใส่ปุ๋ยเคมี 3 ครั้งๆ ละ 800 กรัม

การใส่ปุ๋ยในปีที่ 4 ใส่ปุ๋ยคอก 4 บุ้งกี๋ แล้วใส่ปุ๋ยเคมี 2 ครั้งๆ ละ 2 กิโลกรัม

การใส่ปุ๋ยในปีที่ 5 ใส่ปุ๋ยคอก 5 บุ้งกี๋ แล้วใส่ปุ๋ยเคมี 2 ครั้งๆ ละ 2.5 กิโลกรัม

การใส่ปุ๋ยเคมีในปีที่ 4-5-6 และปีต่อๆ ไปนั้น ให้ใส่เมื่อเก็บผลแล้วและตกแต่งกิ่งแล้ว 1 ครั้ง และใส่ตอนติดผลแล้วอีก 1 ครั้ง ถ้าอายุของต้นฝรั่งมากขึ้น ก็ให้ใส่ปุ๋ยเพิ่มขึ้นปีละ 1 กิโลกรัม เรื่อยๆ ไป และใส่ครั้งละครึ่งหนึ่งของจำนวนที่ใส่เต็มปี และในทำนองเดียวกันปุ๋ยคอกก็ต้องใส่เช่น เดียวกับปุ๋ยเคมี ชนิดของปุ๋ยเคมีที่จะใส่ให้ดินฝรั่งควรใช้สูตร 5-7-8

การดูแลและบำรุงรักษา

ฝรั่งเป็นผลไม้ที่เจริญเติบโตเร็ว เพราะฉะนั้นเมื่อเริ่มปลูกควรใส่ปุ๋ยและรดน้ำให้ต้นฝรั่งชุ่มชื้นอยู่เสมอ อย่างน้อย 3- 4 วันต่อครั้ง เว้นไว้เสียแต่วันฝนตก เพราะเป็นการช่วยให้ต้นฝรั่งโตเร็วขึ้น และในระยะนี้ควรจะได้ฉีดยาป้องกัน และกำจัดโรคแมลงไว้เสียทุกๆ 10 วัน จะช่วยป้องกันโรค และแมลงได้ ยาที่ใช้ฉีดนั้นควรเป็นยาชนิดที่เป็นอันตรายแก่ผู้ใช้น้อย เช่นใช้ดีลดริน 50 % W.P. หรือยาคาบาริล 85 % โดยใช้ยาดีลดรินหรือยาคาบาริล 2 ช้อนแกง ต่อน้ำ 1 ปี๊บ ฉีดเพื่อป้องกันแมลง และใช้ยาคูปราวิท 2 ช้อนแกง ผสมน้ำ 1 ปี๊บฉีดเพื่อป้องกัน และในฤดูแล้งคลุมโคนดินด้วยหญ้าและฟางแห้ง เพื่อสงวนความชุ่มชื้นไว้ในดิน แต่การคลุมดินนั้น อย่าคลุมให้ชิดโคนต้นมากนัก เพราะจะทำให้แมลงเข้าไปอาศัยที่โคนต้นและทำอันตรายโคนต้น ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดโรคขึ้นมาภายหลังได้ ฟางหรือหญ้าที่ใช้คลุมให้ห่างโคนต้นประมาณ 09-50 เซ็นติเมตร การคลุมโคนนี้ควรให้เลยทรงพุ่มของต้น เพราะรากของพืชที่ดูดน้ำและอาหารไปเลี้ยงลำต้นนั้นอยู่ที่ปลายทรงพุ่ม

ผลไม้ดาวเด่น”ฝรั่งขี้นก” ประโยชน์มหาศาล อนาคตไกล

การตัดแต่งกิ่ง

การตัดแต่งกิ่งฝรั่งนั้น ควรตัดแต่งกิ่งตั้งแต่เริ่มปลูกทีเดียว เพราะฝรั่งที่นำปลูกนั้นส่วนมากเขาใช้กิ่งตอนมาจำหน่าย และกิ่งที่ตอนนั้นก็มักจะมีหลายๆ กิ่งอยู่ในกิ่งเดียวกัน และเมื่อนำไปปลูกทั้งๆ ที่มีกิ่งมากๆ มิได้มีการตกแต่งกิ่งกันเลย พอต้นฝรั่งโตขึ้นก็มีแต่กิ่งไม่มีลำต้น ฉะนั้น เมื่อฝรั่ง ออกผลกิ่งจะโน้มลงมาถึงดิน บางครั้งทำให้ผลติดกันและทำให้ผลเน่าเสียได้ และบางครั้งทำให้กิ่งหักและฉีกได้ ฉะนั้น ควรทำการตัดแต่งกิ่งเสียก่อนเริ่มปลูกโดยตัดแต่งกิ่งที่อยู่ตอนล่างออกเสียให้หมด ให้เหลือกิ่งล่างที่สุดอยู่ห่างจากโคนต้น ประมาณ 18 นิ้ว การตัดแต่งกิ่งในระยะแรกเป็นการช่วยสร้างร่างให้ต้นฝรั่งได้รูปได้ทรง แต่การตัดแต่งกิ่งนี้ควรทำทุกๆ ปีๆ ละ 1 ครั้ง เป็นอย่างน้อย ถ้าเป็นต้นฝรั่งที่ยังไม่ให้ผล ควรทำการตัดแต่งกิ่งก่อนจะถึงฤดูแล้ง ทั้งนี้เพื่อเป็นการช่วยป้องกันการระเหยของน้ำจากใบไปด้วย แต่การตัดแต่งกิ่งอาจทำได้ตลอดปี ก็คือกิ่งที่เป็นโรค กิ่งตาย กิ่งงอ กิ่งฉีก กิ่งหัก  และกิ่งไขว้กัน การตัดแต่งกิ่งนั้น เมื่อตัดแล้วควรใช้สีทาบ้าน หรือปูนกินกับหมาก หรือยาคูปราวิท ละลายน้ำให้ข้น ทารอย แผลที่ตัดไว้ เพื่อป้องกันโรคที่จะเข้ามาทางแผล ส่วนการตัดแต่งกิ่งฝรั่งที่ให้ผลแล้วนั้น ควรตัดแต่งกิ่งเมื่อเก็บผลหมดแล้ว และเมื่อตัดแต่งกิ่งแล้ว ควรจะพรวนดินใส่ปุ๋ย และฉีดยาป้องกันโรคและแมลงไว้ด้วย

โรคและแมลง

ฝรั่งมีโรครบกวนเพียง 2-3 ชนิดเท่านั้น คือ

1. โรคราดำ (sooty mold) ปกติราดำเกิดขึ้นทั่วๆ ไป เนื่องจากแมลงจำพวกเพลี้ยต่างๆ เช่น เพลี้ยแป้ง เพลี้ยอ่อน เพลี้ยหอย ราดำนี้จะอาศัยมูลของแมลงต่างๆ เป็นอาหารและอาศัยอยู่ตามผิว  มิได้หยั่งรากลงไปดูดแย่งอาหารจากต้นฝรั่งแม้แต่ประการใด ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า ราดำมิได้ก่อให้เกิดความเสียหายให้แก่พืชโดยตรง นอกจากในกรณีที่ขึ้นอยู่หนาแน่นอาจทำให้พืชปรุงอาหารไม่ได้เต็มที่เพราะแสงสว่างจะผ่านเข้าไปไม่ได้ เพราะราดำกำบังไว้เป็นการถ่วงความเจริญของต้นฝรั่ง หรือทำให้ต้นฝรั่งออกดอกออกผลน้อย ผลสุกช้า สีไมค่อยสมํ่าเสมอ ผิวไม่สวยขายไม่ได้ราคา ฝรั่งที่มีราดำขึ้นจะสังเกตเห็นได้ชัดเจนจากดอกหรือแผ่นของเชื้อราสีดำๆ ตามผล กิ่งและใบฝรั่ง เนื่องจากราชนิดนี้เจริญอยู่เพียงผิวๆ มิได้เจาะไชเข้าไปในเนื้อ ใช้ฝ่ามือลูบก็อาจหลุดได้ง่าย ในที่อากาศแห้งแล้งหรือหมดอาหาร รานี้จะหลุดออกมาเป็นแผ่นๆ ราดำอาจเกิดจากเชื้อราหลายชนิดด้วยกัน

การป้องกันกำจัดราดำ ควรทำการกำจัดแมลงที่จะถ่ายมูลออกมาให้เป็นอาหารของรานี้ก่อนแล้วจึงใช้คูปราวิทฉีดก็จะช่วยป้องกันโรคราดำนี้คูปราวิทที่จะใช้ฉีดควรใช้ 2-3 ช้อนสังกะสีต่อน้ำ 1 ปี๊บ

2. โรคใบจุด (Leat Spot) โรคนี้เกิดจากเชื้อราจำพวก Cercospora sp. ใบจะเป็นจุดสีน้ำตาลเล็กๆ เป็นหย่อมๆ ตามใบฝรั่ง เมื่อนานเข้าจุดสีน้ำตาลเล็กๆ นี้จะเป็นจุดสีน้ำตาลขนาดใหญ่ แล้วจะทำให้ใบหลุดร่วงไป โรคนี้ใช้ยาป้องกันโรคพืชบางชนิดฉีดป้องกันไว้ เช่นคูปราวิทและออโทไซด์ ฯลฯ เป็นต้น

ผลไม้ดาวเด่น”ฝรั่งขี้นก” ประโยชน์มหาศาล อนาคตไกล

แมลง (insect) แมลงที่ทำอันตรายให้แก่ต้นฝรั่งมีมากมาย จำนวนหลายชนิดด้วยกัน คือ

1. เพลี้ยแป้ง (Mealy bug) ตัวเป็นปุยสีขาวเวลาบี้ จะมีสีเลือด แมลงชนิดนี้มักจะเกาะอยู่ตามขั้วผล ยอดอ่อน และตามก้านใบ เพื่อดูดน้ำเลี้ยง ซึ่งทำให้ผลฝรั่งร่วงได้ และใบจะเหี่ยวเฉากำจัดได้โดยใช้ยามาลาไธออน (Malathion) 2 ชนิดต่อน้ำ 1 ปี๊บ ฉีดให้ถูกตัว

2. เพลี้ยหอย (scale insects) แมลงจำพวกนี้มักจะเกาะตามผล ใบและกิ่ง ถ้าเกาะตามใบและกิ่งอาจทำให้ใบแห้งตายได้ กำจัดด้วยมาลาไธออน (Malathion)

3. เพลี้ยอ่อน (Aphids) โดยมากมักชอบอาศัยเกาะ และดูดน้ำเลี้ยงตามยอดอ่อนและใบอ่อนของฝรั่งที่เริ่มผลิตออกมาใหม่ๆ ซึ่งอาจทำให้ยอดเหี่ยวเฉาและใบหงิกงอไม่เจริญเติบโต กำจัดด้วยยาออลดรินคลอเรน ลินเดน และคาบาริล

4. แมลงค่อมทอง (Gveen Weevil) เป็นพวกแมลงปีกแข็ง แมลงจำพวกนี้มักทำลายใบอ่อนของฝรั่ง กำจัดโดยใช้ยาออลดรินคลอเรน ลินเดน และคาบาริล

5. หนอนกินใบฝรั่ง (Leaf eatting caterpillar) เกิดจากผีเสื้อวางไข่ตามใบฝรั่ง เมื่อไข่เจริญตัวออกมาเป็นตัวหนอนแล้วก็จะกัดกินใบฝรั่งเป็นอาหาร การกำจัดใช้ออลดรินคลอเรน มาลาไธออนหรือคาบาริล

6. หนอนเจาะกิ่ง (stem borer) หนอนจำพวกนี้มีลักษณะตัวสีชมพู มีตัวดำๆ เจาะกิ่งฝรั่งทำให้กิ่งฝรั่งหักและห้อยอยู่ตามต้นฝรั่งทั่วๆ ไป หนอนชนิดนี้เกิดจากผีเสื้อกลางคืนชนิดหนึ่งมาวางไข่ไว้ตามกิ่งฝรั่ง วิธีป้องกัน ตัดกิ่งที่ถูกทำลายเผาเสียและฉีดยากำจัดด้วยดีลดริน ป้องกันไว้ทุก 10 วัน

7. หนอนชอนใบ (Leaf miner) หนอนชนิดนี้เป็นหนอนของผีเสื้อชนิดหนึ่ง จะวางไข่ใต้ผิวของใบอ่อน แล้วไข่จะเจริญเป็นตัวหนอนกัดกินใบเป็นทางขาวๆ มองดูเป็นทาง คราบเป็นมัน ใบอ่อนที่ถูกหนอนชอนไชทำลายจะหงิกงอไม่น่าดู รอยแผลที่หนอนชอนไชทำลาย ต่อมาจะกลายเป็นสีน้ำตาล ในขณะที่หนอนอยู่ใต้ผิวใบ การกำจัดทำได้ยากมาก ทางที่ดีควรใช้พวกยามาลาไธออน ฉีดป้องกันเสียก่อน ตอนที่ใบอ่อนแตกใบอ่อนทุกครั้งไป

8. หนอนไชผลฝรั่ง (Frait Fly) เกิดจากแมลงวันผลไม้ชนิดหนึ่งมีหลอดวางไข่พิเศษ มาวางไข่บริเวณผลฝรั่งนั้น ขณะที่ผลฝรั่งยังเล็กอยู่ ไข่จะฟักตัวเป็นหนอนสีขาว ไม่มีขา อาศัยอยู่ในแผลฝรั่ง แล้วจะทำให้ฝรั่งหล่นลง

การเก็บผลฝรั่ง

ฝรั่งที่ได้กล่าวมาแล้ว จะเห็นว่าบางชนิดอายุ 8-9 เดือน ก็ให้ผล บางชนิดอายุ 2 ½  ก็ให้ผล แต่การให้ผลในระยะแรกนั้นจะให้ผลน้อย จะได้ผลเต็มที่เมื่ออายุได้ 8 ปี จะได้ผลปริมาณ 1,000-1,500 ผลต่อต้น ตามธรรมดาฝรั่งจะให้ผลปีละ 2 ครั้ง โดยจะออกดอกในเดือนกุมภาพันธ์และ มีนาคม และเก็บผลได้ในเดือนมิถุนายน กรกฎาคม และสิงหาคม และถ้าออกดอกในเดือนเมษายน พฤษภาคม จะเก็บผลได้ในเดือนสิงหาคมและกันยายน รวมระยะของการเป็นผลของฝรั่งแต่ละภาคนั้นอาจช้าหรือเร็วกว่าในเดือนที่ได้กล่าวมาแล้วก็ได้ ทั้งนี้เป็นเพราะดินฟ้าอากาศไม่เหมือนกัน

การเก็บผลนั้น เมื่อผลแก่จัดเต็มที่แล้ว ฝรั่งที่ยังอ่อน ผิวเขียว เมื่อเริ่มแก่สีเขียวจะจางลงไป ถ้าปล่อยไว้ให้สุกจนมีผิวสีเหลือง สุกคาต้นอาจมี มด ค้างคาวมาเจาะกิน การเก็บควรใช้บันไดชนิดมีขาตั้งหรือจะใช้พะองพากกิ่งแล้วขึ้น พะองใช้กรรไกรตัดใต้ขั้วผล จะทำให้น่ารับประทานขึ้นกว่าที่จะเด็ดหรือสอยเอามาโดยไม่มีขั้วติดมาด้วย

ประโยชน์ของฝรั่ง

การใช้ประโยชน์ : ผลสุกกินเป็นผลไม้ ส่วนใบใช้เป็นสมุนไพร โดยนำใบ 1 กำมือมาตัดโคนใบและปลายใบ จากนั้นนำมาต้มให้เด็กดื่ม แก้อาการท้องเสีย

ฝรั่งขี้นกมีสารแทนนินอยู่มาก สารนี้มีฤทธิ์ฝาดสมาน น้ำมันหอมระเหยในใบฝรั่งช่วยสมานแผลในท้องและลำไส้ ลดอาการคลื่นไส้อาเจียน และยังช่วยระงับอาการเกร็งตัวของลำไส้ ทำให้อาการปวดท้องบรรเทาลงได้ 

ผลไม้ดาวเด่น”ฝรั่งขี้นก” ประโยชน์มหาศาล อนาคตไกล

ข้อมูลจาก องค์ความรู้เพื่อการพัฒนาพื้นที่เกษตรที่สูงอย่างยั่งยืน และ thaikasetsart