เกษตรยั่งยืน

heading-เกษตรยั่งยืน

รู้จัก“Blue Carbon” และ “Green Carbon” แหล่งดูดซับคาร์บอนโอบอุ้มโลก

21 พ.ค. 2566 | 14:26 น.
รู้จัก“Blue Carbon” และ “Green Carbon” แหล่งดูดซับคาร์บอนโอบอุ้มโลก

ทำความรู้จัก Green Carbon เเละ Blue Carbon แหล่งดูดซับคาร์บอนที่สำคัญเพื่อโอบอุ้มโลก  เพราะไร้คาร์บอนก็ไร้ชีวิต

     แม้เราจะเกลียดชังคาร์บอนในฐานะตัวการทำให้เกิดภาวะโลกร้อนมากแค่ไหน สิ่งหนึ่งที่เราจะลืมไม่ได้คือคาร์บอนเป็นองค์ประกอบสำคัญของชีวิต นั่น หมายความว่าเราจะมุ่งลดและกำจัดคาร์บอนอย่างเดียวคงไม่ได้ เราต้องทำให้มันอยู่ในโลกอย่างสมดุล เพราะไร้คาร์บอนก็ไร้ชีวิต โดยระบบนิเวศมากมายที่อยู่ได้ด้วยการซึมซับคาร์บอน แต่ก็มีคาร์บอนส่วนเกินที่มนุษย์สร้างขึ้นมาจนกลายเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ ซึ่งระบบนิเวศอิงคาร์บอนที่กำลังเป็นที่พูดถึงกันมากคือ Blue Carbon และ Green Carbon

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

heading-ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รู้จัก“Blue Carbon” และ “Green Carbon” แหล่งดูดซับคาร์บอนโอบอุ้มโลก

กรีน คาร์บอน (Green Carbon) คืออะไร?

     เป็นคาร์บอนที่ดูดซับโดยต้นไม้ ผืนป่า และผืนดินที่ปกคลุมด้วยพืชพันธุ์ ผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสงของพืช การดูดซับคาร์บอนลักษณะนี้เป็นที่คุ้นเคยของคนทั่วไป เพราะการศึกษาขั้นพื้นฐานสอนให้เรารู้ว่าพืชเจริญเติบโตโดยการสังเคราะห์แสง และมีคาร์บอนไดออกไซด์เป็นปัจจัยหลัก  พืชและป่าจึงมีส่วนสำคัญในการหมุนเวียนคาร์บอน ด้วยความที่กรีน คาร์บอน อยู่บนผืนดินและกักเก็บคาร์บอนส่วนเกินไว้ในผืนดิน เราจึงเรียกมันอีกอย่างว่า Terrestrial Carbon Sink หรือ คาร์บอน ซิงค์ ภาคพื้นดิน 

ความสำคัญของกรีน คาร์บอน

     ป่าเป็นตัวดูดซับกรีน คาร์บอน ที่ทรงอานุภาพที่สุด เพราะมีอายุยืนนาน โดยเฉพาะจากเศษซากใบไม้กิ่งไม้ในป่าที่สะสมคาร์บอนเป็นเวลายาวนานหลายศตวรรษ นอกจากนี้ ป่าไม้ยังสามารถสะสมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมากได้ในระยะเวลาอันสั้น การปลูกป่าเพิ่มเติมและการฟื้นคืนพื้นที่ป่าจึงเป็นหนทางที่ง่าย แต่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มการกักเก็บคาร์บอนชีวภาพ

     ในเรื่องนี้คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) คำนวณว่าโครงการระดับโลกที่เกี่ยวข้องกับป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า, การฟื้นฟูป่าเขตร้อน และการปลูกป่าใหม่ทั่วโลก สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศได้ 60–87 กิกะตัน ภายในปี พ.ศ.2593 หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 12-15% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเชื้อเพลิงฟอสซิลในช่วงเวลานั้น 

รู้จัก“Blue Carbon” และ “Green Carbon” แหล่งดูดซับคาร์บอนโอบอุ้มโลก

บลู คาร์บอน (Blue Carbon) คืออะไร?

     บลู คาร์บอน คือ คาร์บอนที่ดูดซับโดยระบบนิเวศทางทะเล โดยสิ่งมีชีวิตที่มีบทบาทสำคัญ คือ ป่าชายเลน, บึงเกลือ, หญ้าทะเล และสาหร่ายขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบนิเวศชายทะเล เช่น ป่าชายเลน มีบทบาทอย่างมากในการดูดซับคาร์บอนให้ถูกดึงลงไปในผืนดินใต้ทะเล หรือดินเลนชายฝั่ง หรือที่เรียกว่า คาร์บอน ซิงค์ (Carbon Sink) และมหาสมุทรคือ คาร์บอน ซิงค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือเรียกว่า Oceanic Carbon Sink ซึ่งดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่าหนึ่งในสี่ของที่มนุษย์ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ 


บลู คาร์บอนสำคัญอย่างไร?

     คริสเตียน เนลเลมานน์ และคณะนักวิจัยจากโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า บรรดาคาร์บอนชีวภาพทั้งหมดที่ถูกดูดซับไว้ในโลกมากกว่าครึ่งนั้น (55%) ดูดซับไว้โดยคาร์บอน ซิงค์ทางทะเล ไม่ใช่คาร์บอน ซิงค์ภาคพื้นดิน นี่คือความสำคัญของบลู คาร์บอน และในบรรดาพื้นที่กักเก็บคาร์บอนทั้งหมดของมหาสมุทรนั้น พื้นที่เติบโตของพืชในทะเลมีอัตราส่วนกักเก็บคาร์บอนกว่า 50% และเป็นไปได้ว่าอาจมากถึง 70% ของคาร์บอน ซิงค์ในมหาสมุทร แม้ว่าแหล่งที่อยู่อาศัยของพืชในมหาสมุทรจะครอบคลุมน้อยกว่า 0.5% ของพื้นที่ก้นทะเลก็ตาม  แสดงให้เห็นถึงความสำคัญยิ่งยวดของพืชทะเลที่แม้จะมีปริมาณน้อยเมื่อเทียบกับพืชบกที่กักเก็บกรีน คาร์บอน แต่พืชทะเลก็มีความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนสูงกว่า และกักเก็บได้ยาวนานหลายพันปี

บทบาทของบลู คาร์บอน

1. ป่าโกงกาง  : โกงกางทั่วโลกคาดว่ามีพื้นที่อยู่ที่ระหว่าง 83,495  -  167,387 ตารางกิโลเมตร และคิดเป็นพื้นที่กักเก็บคาร์บอนถึง 10% ทั่วโลก ปัจจุบันประเทศที่มีป่าโกงกางมากที่สุดในโลกคือ อินโดนีเซีย คิดเป็น 30% ของทั้งโลก และเมื่อรวมผืนป่าโกงกางอินโดนีเซีย บราซิล มาเลเซีย และปาปัวนิวกินี จะมีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนถึง 50%


2. หญ้าทะเล : แม้ว่าพื้นที่เติบโตของหญ้าทะเล จะมีสัดส่วนเพียง 0.1% ของพื้นที่พื้นมหาสมุทร แต่พวกมันมีอัตราการกักเก็บคาร์บอนในมหาสมุทรทั้งหมด 10-18% หรือคิดเป็นปริมาณถึง 19.9 กิกะตันของคาร์บอนในทะเล โดยปัจจุบันโลกของเรามีพื้นที่หญ้าทะเลอยู่ที่ราว 300,000 - 600,000 ตารางกิโลเมตร  ที่ลุ่มชื้นแฉะริมทะเล : ที่ลุ่มชื้นแฉะริมทะเล หรือบึงน้ำเค็ม มีพื้นที่รวมกันทั่วโลกประมาณ 22,000 - 400,000 ตารางกิโลเมตร และทำให้ที่ลุ่มชื้นแฉะริมทะเลเป็นระบบกักเก็บคาร์บอนชีวภาพธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก โดยระดับความลึกของชั้นดินใต้น้ำกักเก็บคาร์บอนที่มีอายุถึง 5,000 ปี


3. สาหร่ายทะเล : มีหลักฐานว่าสาหร่ายผลิตสารประกอบที่มีความทนทานสูง และทำให้คาร์บอนชีวภาพอาจกักเก็บอยู่ในตะกอนหรือเคลื่อนย้ายไปยังทะเลลึกและเก็บไว้เป็นเวลานานนับพันปี  ดังนั้นการอนุรักษ์พื้นที่การเติบโตของสาหร่ายทะเลตามธรรมชาติ และการเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเล จึงมีส่วนในการบรรเทาและการปรับตัวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
 

ขอบคุณข้อมูล : กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
ขอบคุณภาพ  : bluecarbonsociety
 

ข่าวล่าสุด

heading-ข่าวล่าสุด

ข่าวเด่น

สลด 2 สาว เที่ยวอุทยานฯน้ำตกทรายขาว หนีน้ำป่าไม่ทัน ถูกซัดจมดับคู่

สลด 2 สาว เที่ยวอุทยานฯน้ำตกทรายขาว หนีน้ำป่าไม่ทัน ถูกซัดจมดับคู่

สภาพอากาศวันนี้ กรมอุตุฯ เตือนพื้นที่ 48 จ. ฝนตกหนัก ลมกระโชกแรง

สภาพอากาศวันนี้ กรมอุตุฯ เตือนพื้นที่ 48 จ. ฝนตกหนัก ลมกระโชกแรง

ภรรยา "ติ๊ก ชิโร่" โพสต์เดือด อย่ามายุ่งกับสามี ไปผุดไปเกิดสักที

ภรรยา "ติ๊ก ชิโร่" โพสต์เดือด อย่ามายุ่งกับสามี ไปผุดไปเกิดสักที

"หมิว ลลิตา" เผยเหตุหายหน้า 10 ปี เจอวิกฤต หนักสุดนอนติดเตียงขยับไม่ได้

"หมิว ลลิตา" เผยเหตุหายหน้า 10 ปี เจอวิกฤต หนักสุดนอนติดเตียงขยับไม่ได้

ไล่บี้จีนเทา บุกค้น 5 โกดังยึดเครื่องสำอางปลอม มูลค่ากว่า 4 ล้าน

ไล่บี้จีนเทา บุกค้น 5 โกดังยึดเครื่องสำอางปลอม มูลค่ากว่า 4 ล้าน