แนะปลูกอ้อยโคลน และลดต้นทุน ให้ลำใหญ่ น้ำหนักดี

28 พฤษภาคม 2565

เกษตรยั่งยืนในวันนี้ทีมงานไทยนิวส์จะพาทุกท่านไปรู้จักการปลูกอ้อยโคลน และวิธีการลดต้นทุนอย่างไร ให้ได้ลำใหญ่ น้ำหนักดี น้ำตาลสูง และไร้โรค

เกษตรยั่งยืนในวันนี้ ทีมงานไทยนิวส์จะพาทุกท่านมาพูดถึงเรื่องการปลูกอ้อย โดยอ้อยเป็นไม้ล้มลุก สูง 2-5 เมตร แตกกอแน่น ลำต้นสีม่วงแดงตั้งหรือมีโคนทอดเอน มีไขสีขาวปกคลุม ไม่แตกกิ่งก้าน ใบเดี่ยว เรียงสลับเป็น 2 แถว กว้าง 2.5-5 เซนติเมตร ยาว 0.5-1 เมตร ใบตั้งหรือทอดโค้ง ใบรูปใบหอกแกมรูปแถบขอบใบมีหนามเล็กๆหยาบ ดอกช่อ ออกที่ปลายยอด ช่อแยกแขนง รูปปิรามิด เปราะ ช่อดอกย่อยรูปใบหอกถึงรูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน มีขนสีขาวปกคลุม ผลเป็นผลแบบผลธัญพืช แห้งและมีขนาดเล็ก

 

แนะปลูกอ้อยโคลน และลดต้นทุน ให้ลำใหญ่ น้ำหนักดี
 

ทั้งนี้อ้อยมีหลายพันธุ์แตกต่างกันที่ความสูง ความยาวของข้อและสีของลำต้น อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจที่เกษตรกรนิยมปลูกกันมาก อ้อยที่นำมาคั้นน้ำสำหรับดื่ม เป็นอ้อยที่ปลูกบริเวณที่ราบลุ่ม พื้นที่ดินเหนียว ประชาชนเรียกว่า อ้อยเหลือง หรือ อ้อยสิงคโปร์  นิยมปลูกกันมากในบริเวณจังหวัดอ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี และนครปฐม เป็นต้น

 

แนะปลูกอ้อยโคลน และลดต้นทุน ให้ลำใหญ่ น้ำหนักดี

 

   นอกจากนี้อีกหนึ่งสารพันธุ์อ้อยที่น่าจับตามองคือ  อ้อยโคลน NSUT10-266 ที่ได้จากการผสมของพันธุ์แม่ Q76 กับพันธุ์พ่อ CP63-588 ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่สุพรรณบุรี ในปี 2553 แล้วนำมาคัดเลือกครั้งที่ 1 และ 2 แบบ Individual  selection ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ ในปี 2554-2556นำเข้าประเมินผลผลิตตามขั้นตอนปรับปรุงพันธุ์ ในอ้อยปลูก ตอ 1 และตอ 2 ซึ่งดำเนินการในศูนย์วิจัย และแปลงเกษตรกร จำนวน 12 แปลงรวมทั้งศึกษาข้อมูลปฏิกิริยาต่อโรคเหี่ยวเน่าแดงและแส้ดำ ระหว่างปี 2556-2563

 

แนะปลูกอ้อยโคลน และลดต้นทุน ให้ลำใหญ่ น้ำหนักดี

 

ลักษณะเด่น

อ้อยโคลน NSUT10-266 ให้ผลผลิตน้ำตาลสูง 2.64 ตันซีซีเอสต่อไร่ สูงกว่าพันธุ์ LK92-11 (2.27 ตันซีซีเอสต่อไร่) และขอนแก่น 3 (2.63ตันซีซีเอสต่อไร่) ร้อยละ 16 และ 1 ตามลำดับ และมีความหวาน 15.7 ซีซีเอส ซึ่งสูงกว่าพันธุ์ขอนแก่น 3 และ LK92-11 ที่มีความหวานเท่ากับ 14.6 ซีซีเอส ร้อยละ 7 ให้ผลผลิตอ้อย 17.0 ตันต่อไร่ ไม่แตกต่างจากพันธุ์ LK92-11 (16.5 ตันต่อไร่) นอกจากนี้ยังต้านทานปานกลางต่อโรคเหี่ยวเน่าแดง ทรงกอตั้งตรงทำให้มีการหักล้มน้อย กาบใบหลุดร่วงง่าย ประกอบกับไม่มีขนบนใบ จึงเหมาะกับการเก็บเกี่ยวด้วยแรงงานคน และรถเก็บเกี่ยว

 

แนะปลูกอ้อยโคลน และลดต้นทุน ให้ลำใหญ่ น้ำหนักดี

 

 

พื้นที่ที่เหมาะสม


อ้อยโคลน NSUT10-266 เหมาะสมกับพื้นที่ดินร่วน ร่วนเหนียว และดินเหนียว เขตอาศัยน้ำฝน

 

โดยในวันนี้ทีมงานไทยนิวส์ จะมาเผยเคล็ดลับด้วยการลดต้นทุนในภาวะปุ๋ยแพงโดยเฉพาะยูเรีย เกษตรกรควรปรับเปลี่ยนวิธีการ แต่ไม่ควรลดจนกระทบการเจริญเติบโตพืชและผลผลิต ซึ่งแนะนำทางเลือก ปุ๋ยแทนยูเรียด้วยสูตร 30-0-0 ปุ๋ยทิพย์  ที่ราคาถูกกว่า มีปริมาณไนโตเจนใกล้เคียง แต่มีธาตุรอง S (ซัลเฟอร์)ที่ช่วยสร้างกรดอะมิโนและวิตามินบางชนิด ช่วยนำไนโตรเจนไปใช้ได้ดียิ่งขึ้นส่งผลให้พืชเขียวยาวนาน ไม่เป็นโรคง่าย เมื่อต้นทุนลด ผลผลิตดี ชีวิตก็ดีตาม

บำรุงอ้อย ให้เขียวนาน ลำใหญ่ น้ำหนักดี ด้วยปุ๋ยแทนยูเรียด้วยสูตร 30-0-0 ปุ๋ยทิพย์ ที่จะช่วยให้ผลผลิตอ้อยในไร่ของเกษตรกรงามดียิ่งขึ้น

 

 

วิธีการใช้

อ้อย ใช้ปุ๋ยเคมีอัตรา 80-100 กก./ไร่ ร่วมกับปุ๋ยฟอสเฟตและโพแทช ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพความสมบูรณ์ของดิน ก่อนใส่ปุ๋ยเคมีทุกครั้ง ควรดายหญ้าออกให้หมดเสียก่อน การใส่ควรใส่ระหว่างแถวหรือรอบๆ โคนต้นพอควรและควรกลบดินเสียหลังจากใส่ปุ๋ยเคมี​

หมายเหตุ : อัตราใส่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามค่าวิเคราะห์ดิน ความสมบูรณ์ของต้นอ้อย หรือความชื้นดิน 

ผลิตภัณฑ์ปุ๋ยทิพย์

สำหรับ"ปุ๋ยทิพย์"ชนิดBulk Blending Fertilizer(ปุ๋ยผสม)สูตร 30-0-0
พืชที่แนะนำให้ใช้ ข้าว พืชผัก พืชไร่ พืชสวน ไม้ผล

ข้าว มักใช้ปุ๋ยครั้งที่สอง

ก. สำหรับข้าวนาดำ

สำหรับข้าวพันธุ์ไม่ไวต่อช่วงแสง ใช้ปุ๋ยเคมีอัตรา 15-20 กก./ไร่ ใส่หลังจากการใส่ปุ๋ยเคมีครั้งแรก 30 วัน หรือ 25-30 วัน ก่อนข้าวออกดอก

สำหรับข้าวพันธุ์ไวต่อช่วงแสง ใช้ปุ๋ยเคมีอัตรา 5-10 กก./ไร่ หลังจากใส่ปุ๋ยเคมีครั้งแรก 30 วัน หรือก่อนข้าวออกดอก 30 วัน

ข. สำหรับนาหว่านน้ำตม/นาหยอด

สำหรับข้าวพันธุ์ไม่ไวต่อช่วงแสง ใช้ปุ๋ยเคมีอัตรา 15-20 กก./ไร่ ใส่หลังจากใส่ปุ๋ยเคมีครั้งแรก 30 วัน หรือ 25-30 วัน ก่อนข้าวออกดอก

สำหรับข้าวพันธุ์ไวต่อช่วงแสง ใช้ปุ๋ยเคมีอัตรา 5-10 กก./ไร่ หลังจากใส่ปุ๋ยเคมีครั้งแรก 30 วัน หรือใส่ก่อนข้าวออกดอก 25-30 วัน

-พืชผัก เช่น คะน้า ผักกาดขาวปลี ผักกาดเขียวปลี หอม กระเทียม พริก มะเขือ ใช้ปุ๋ยเคมีอัตรา 40-50 กก./ไร่ ทั้งนี้แล้วแต่ความอุดมสมบูรณ์ของดิน ควรแบ่งใส่สองครั้ง ครั้งแรกใส่รองพื้นจำนวนครึ่งหนึ่ง และครั้งที่สองใส่ห่างจากครั้งแรกประมาณ 25-30 วัน โดยใส่เป็นปุ๋ยเคมีแต่งหน้า


-พืชไร่ และพืชสวน ใช้กับพืชที่ต้นยังเล็กอยู่และต้องการเร่งให้โตเร็วหรือพืชที่ขาดธาตุนี้ เช่น ข้าวโพด อ้อย กาแฟ กล้วย สับปะรด ยางพารา
1.ข้าวโพด ใช้ปุ๋ยเคมีอัตรา 60-70 กก./ไร่ ร่วมกับปุ๋ยฟอสเฟตหรือโพแทช หรือใช้ใส่เดี่ยวเป็นปุ๋ยเคมีครั้งที่สอง


2.อ้อย ใช้ปุ๋ยเคมีอัตรา 80-100 กก./ไร่ ร่วมกับปุ๋ยฟอสเฟตและโพแทช ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพความสมบูรณ์ของดิน ก่อนใส่ปุ๋ยเคมีทุกครั้ง ควรดายหญ้าออกให้หมดเสียก่อน การใส่ควรใส่ระหว่างแถวหรือรอบๆ โคนต้นพอควรและควรกลบดินเสียหลังจากใส่ปุ๋ยเคมี​


ไม้ผล ใช้กับไม้ผลที่ต้นยังเล็ก และต้องการเร่งให้โตเร็วขึ้น หลังจากการตกแต่งกิ่ง หรือไม้ผลที่ขาดธาตุนี้ เช่น ส้ม เงาะ ทุเรียน มังคุด น้อยหน่า ขนุน องุ่น พุทรา ไม้ผลที่ยังไม่ให้ผล ใช้ปุ๋ยเคมีอัตรา 500-1,000 กรัม/ต้น/ปี โดยแบ่งใส่สองครั้ง ทั้งนี้ ย่อมขึ้นอยู่กับสภาพความอุดมสมบูรณ์ของดินเป็นเกณฑ์ หากเป็นไม้ผลที่ให้ผลแล้ว ใช้ปุ๋ยเคมีอัตรา 1-2 กก./ต้น/ปี ใส่หลังจากเก็บผลผลิตแล้ว การใส่ควรใส่ใส่แนวรัศมีพุ่มใบ และอย่าให้กระทบกระเทือนราก

 

ปุ๋ยทิพย์

ขอบคุณข้อมูล ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์